Abstract:
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาชุดฝึกทักษะการเขียนสรุปความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนสรุปความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยก่อนและหลังเรียนของนักเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนสรุปความ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/5 โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 50 คน โดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดฝึกทักษะการเขียนสรุปความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งผู้วิจัยได้สร้างขึ้น จำนวน 15 ชุด แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนสรุปความก่อนเรียนและหลังเรียนจำนวน 30 ข้อ ซึ่งได้ค่าความยากง่ายตั้งแต่ .44-.74 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .22-.70 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .81สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ยร้อยละ และการทดสอบค่า t ผลการวิจัยพบว่า 1. ชุดฝึกทักษะการเขียนสรุปความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.03/81.47 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนสรุปความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
The purposes of this study were to develop packages on summarize writing in the Thai language strand for Prathom Suksa 5 pupils based on standardized criteria of 80/80 and to compare the pupils creative summarize writing before and after using the packages.
The sample used in this study consisted of 50 Prathom Suksa 5 pupils of Ubon Ratchathani Kindergarten School under the jurisdiction of Ubon Ratchathani Educational Service Area Office 1, studying in the first semester of academic year 2006, gained by the simple random sampling. The research tools consisted of summarize writing plan, with 15 series of the packages, and a summarize writing test. The difficulty indices of the test ranged from .44 - .74, the discrimination indices ranged from .22 - .70, and the reliability value was .81. The data were analyzed by using mean, standard deviation, efficiency value, and t test.