การศึกษาการเพิ่มอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน

Study of energy efficiency ratio enhancement of split-type air conditioner

Name: มนต์ศักดิ์ พิมสาร

Organization : สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. คณะวิศวกรรมศาสตร์

Name: อักษา ทองคำ

Organization : สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. คณะวิศวกรรมศาสตร์

Email : aksa.thong@gmail.com

keyword: อัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงาน

ThaSH: เครื่องปรับอากาศ -- การใช้พลังงาน

; เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน

ThaSH: เครื่องปรับอากาศ -- การควบคุม -- เครื่องมือและอุปกรณ์

Abstract: ในปัจจุบันธุรกิจเครื่องปรับอากาศมีการแข่งขันค่อนข้างสูง โดยตัวชี้วัดคุณภาพของเครื่องปรับอากาศคือ ค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงาน (EER, Energy efficiency ratio) ซึ่งเป็นตัวบอกถึงประสิทธิภาพของ เครื่องปรับอากาศในการทำความเย็น งานวิจัยนี้เน้นศึกษาการพัฒนาในส่วนของการเพิ่มสมรรถนะของเครื่องระเหย ด้วยการใช้ครีบแบบบานเกล็ด ตัวแปรระยะห่างของครีบที่อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนของเครื่องระเหยและอัตรา การไหลของอากาศถูกนำมาศึกษาด้วยวิธีการทดลองเพื่อหาค่าที่เหมาะสม ในการทดลองระยะห่างของครีบมีค่า 2.117, 1.814, และ 1.588 มิลลิเมตร และอัตราการไหลของอากาศในช่วง 700-1170 ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที การศึกษาแสดงให้เห็นผลของตัวแปรทั้งสองต่อค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนในรูปแบบของ Colburn j-factor ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (Friction factor) ที่ชุดแลกเปลี่ยนความร้อนของเครื่องระเหย และค่าอัตราส่วน ประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน จากการทดลองพบว่า ความหนาแน่นของครีบที่เพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนให้เพิ่มมากขึ้น แต่ค่าความดันตกคร่อมที่เกิดขึ้นก็มีค่าเพิ่มขึ้นตามไป ด้วยเช่นกัน และการเพิ่มขึ้นของอัตราการไหลของอากาศที่เครื่องระเหยทำให้อัตราการถ่ายเทความร้อนเพิ่มขึ้นได้ แต่กำลังไฟฟ้าที่ใช้ก็เพิ่มขึ้นตามและสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อน Colburn j-factor ลดลงตาม และเมื่ออัตราการ ไหลของอากาศมีค่า 990 ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที และระยะห่างของครีบมีค่า 1.814 มิลลิเมตร จะทำให้อัตราส่วน ประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศสูงสุดที่ค่า 13.23

Abstract: In present, air conditioning business is highly competitive. A measure of air conditioning quality is energy efficiency ratio, indicating the efficiency of the air conditioner in cooling. This research focuses on the development of evaporator capacity with the use of a louver fin. The parameters used in the experimental study are fin density in evaporator coil and air flow rate. In the experiments, the fin spacing used are 2.117, 1.814, and 1.588 mm, and air flow rate are varied from 700 to 1170 cfm. The study shows effect of these two variables on the heat transfer coefficient in the form of the Colburn j-factor, coefficient of friction in evaporator coil and the energy efficiency ratio of air conditioner. The experimental results show that if fin density is increased, the heat transfer is also enhanced. However, this results in higher pressure drop. And increase of air flow rate on evaporator coil yields higher heat transfer, but the compressor power input is increased as well and the Colburn j-factor is reduced. Moreover, when air flow rate is 990 cfm and fin spacing is 1.814 mm, the energy efficiency ratio of air conditioning is maximum, 13.23.

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. สำนักหอสมุดกลาง

Address: กรุงเทพมหานคร

Email: library@kmutnb.ac.th

Created: 2556

Modified: 2568-12-08

Issued: 2568-12-08

บทความ/Article

application/pdf

BibliograpyCitation : ใน มหาวิทยาลัยบูรพา คณะวิศวกรรมศาสตร์. การประชุมวิชาการเครือข่ายวิศวกรรมเครื่องกลแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 27 (ME-NETT 2013) (ETM2016). ชลบุรี : มหาวิทยาลัยบูรพา

tha

©copyrights มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	ME-NETT 2013ETM2016.pdf	288.65 KB

ใช้เวลา

0.029539 วินาที