The CEFR-CLIL-Based language pedagogical innovation to enhance english competencies and autonomous learning ability among high school students

นวัตกรรมศาสตร์การสอนภาษาที่เน้นการบูรณาการเนื้อหาและภาษาตามกรอบอ้างอิงความสามารถทางภาษาของสหภาพยุโรปเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะภาษาอังกฤษและความสามารถการเรียนรู้ภาวะอิสระสำหรับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Name: Kritpipat Kaewkamnerd

LCSH: English language -- Study and teaching

LCSH: High school students -- Thailand -- Chiang Mai

Abstract: This research employed a Research and Development (R& ; D) design and aimed to: 1) develop and evaluate the effectiveness of the CEFR-CLIL-based language pedagogical innovation to enhance English competencies and autonomous learning ability among high school students (CEFR-CLIL+) ; 2) investigate students’ English language competencies following the implementation of the CEFR-CLIL+ innovation ; and 3) examine their autonomous learning ability after using the CEFR-CLIL+ innovation. The data collection process consisted of four phases: Phase 1 involved document analysis, needs assessment, and a survey of students’ interests and use of technology for English learning in high schools across Chiang Mai. Phase 2 involved the development of the CEFR-CLIL+ innovation. Phase 3 focused on the validation of research instruments, and Phase 4 on the refinement of the innovation prior to dissemination. The sample consisted of 20 English teachers and 850 high school students in Chiang Mai, along with 230 high school students from The Prince Royal’s College, all of whom participated in the initial survey. For the trial implementation, 20 students from class M.6/9 were assigned as the experimental group, and 42 students from class M.6/6 served as the control group. Both classes were from The Prince Royal’s College, Chiang Mai. Research instruments included a needs survey, four CEFR-CLIL+ learning units, the Autonomous Learning Assessment (ALA), and a Self-Assessment Form (SAF). Data were analyzed using frequency, percentage, mean, standard deviation, and paired-sample t-tests. The findings revealed that the CEFR-CLIL+ innovation was effective in enhancing English competencies and autonomous learning ability among high school students. A comparison of pre- and post-test scores showed that the experimental group significantly improved at the .01 level, with progress in reading (10.00–52.50%), listening (2.50–32.50%), writing (0.00–15.00%), and speaking (2.50–37.50%). The control group also showed statistically significant gains (p < ; .01), with improvements in reading (10.00–62.50%), listening (2.50–62.50%), writing (5.00–32.50%), and speaking (5.00–29.00%). According to CEFR-aligned assessments, the experimental group progressed from level A2 (mean score = 254.40) to B1 (mean score = 341.00), while the control group improved within level B1, from 316.35 to 362.24, both with statistically significant differences (p < ; .01). In terms of autonomous learning ability, both groups demonstrated higher post-test scores based on the Autonomous Learning Assessment. The Self-Assessment Form results indicated that the experimental group improved in all skills, whereas the control group showed gains in listening, speaking, and reading, but a slight decrease in writing. These results underscore the effectiveness of the CEFR-CLIL+ innovation and suggest that learner diversity and contextual factors should be considered in classroom implementation.

Abstract: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: RD) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมศาสตร์การสอนภาษาที่เน้นการบูรณาการเนื้อหาและภาษาตามกรอบอ้างอิงความสามารถทางภาษาของสหภาพยุโรปเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะภาษาอังกฤษและความสามารถการเรียนรู้ภาวะอิสระสำหรับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (CEFR-CLIL+) 2) ศึกษาสมรรถนะภาษาอังกฤษของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหลังจากการใช้นวัตกรรม CEFR-CLIL+ และ 3) ศึกษาความสามารถการเรียนรู้ภาวะอิสระของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหลังจากการใช้นวัตกรรม CEFR-CLIL+ กระบวนการวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์เอกสาร การวิเคราะห์สภาพปัญหา การประเมินความต้องการ และการสำรวจความสนใจของนักเรียน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายจังหวัดเชียงใหม่ ระยะที่ 2 การพัฒนานวัตกรรม CEFR-CLIL+ ระยะที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจัย และระยะที่ 4 การปรับปรุงนวัตกรรมให้สมบูรณ์ก่อนการนำไปเผยแพร่ กลุ่มตัวอย่างสำหรับสำรวจหัวข้อความสนใจและการใช้เทคโนโลยีประกอบด้วยครูผู้สอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 20 คน นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 850 คน และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 230 คน กลุ่มทดลองใช้นวัตกรรม CEFR-CLIL+ ประกอบด้วยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/9 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 20 คน และกลุ่มควบคุมคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/6 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 42 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสำรวจความคิดเห็น นวัตกรรม CEFR-CLIL+ จำนวน 4 หน่วยการเรียนรู้ แบบประเมินการเรียนรู้ภาวะอิสระ (Autonomous Learning Assessment) และแบบฟอร์มการรับรู้ตนเองด้านความสามารถการเรียนรู้ภาวะอิสระ (Self-Assessment Form) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติค่า T (Paired-Sample t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของนวัตกรรม CEFR-CLIL+ ด้วยวิธีการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีความก้าวหน้าด้านทักษะการอ่าน ร้อยละ 10.00-52.50 ทักษะการฟังมีความก้าวหน้าร้อยละ 2.50-32.50 ทักษะการเขียนมีความก้าวหน้าร้อยละ 0.00-15.00 และทักษะการพูดมีความก้าวหน้าร้อยละ 2.50-37.50 นักเรียนกลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีความก้าวหน้าด้านทักษะการอ่าน ร้อยละ 10.00-62.50 ทักษะการฟังมีความก้าวหน้าร้อยละ 2.50-62.50 ทักษะการเขียนมีความก้าวหน้าร้อยละ 5.00- 32.50 และทักษะการพูดมีความก้าวหน้าร้อยละ 5.00-29.00 2) สมรรถนะภาษาอังกฤษตามกรอบมาตรฐาน CEFR พบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ก่อนเรียนความสามารถภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ A2 (คะแนนเฉลี่ย 254.40) และหลังเรียนอยู่ในระดับ B1 (คะแนนเฉลี่ย 341.00) นักเรียนกลุ่มควบคุมสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ก่อนเรียนความสามารถภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ B1 (คะแนนเฉลี่ย 316.35) และหลังเรียนความสามารถภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ B1 (คะแนนเฉลี่ย 362.24) 3) ความสามารถการเรียนรู้ภาวะอิสระของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหลังการใช้นวัตกรรม CEFR-CLIL+ โดยใช้แบบประเมินการเรียนรู้ภาวะอิสระ (Autonomous Learning Assessment) พบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองและนักเรียนกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยความคิดเห็นหลังเรียนรู้ด้วยนวัตกรรม CEFR-CLIL+ สูงกว่าก่อนเรียนทุกด้าน และการประเมินด้วยแบบฟอร์มการรับรู้ตนเองด้านความสามารถการเรียนรู้ภาวะอิสระ (Self-Assessment Form) พบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับความสามารถหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนทุกทักษะ ในขณะที่นักเรียนกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยระดับความสามารถหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ได้แก่ ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน แต่ทักษะการเขียนมีค่าเฉลี่ยระดับความสามารถหลังเรียนน้อยกว่าก่อนเรียน ดังนั้น ครูผู้สอนจึงต้องพิจารณาถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนและสภาพแวดล้อมก่อนนำนวัตกรรม CEFR-CLIL+ ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในชั้นเรียน

Chiang Mai University. Library

Address: CHIANG MAI

Email: cmulibref@cmu.ac.th

Name: Jarunee Dibyamandala

Role: Advisor

Name: Charin Mangkhang

Role: Advisor

Name: Sasinee Khunkaew

Role: Advisor

Created: 2025

Modified: 2568-10-03

Issued: 2025-08-29

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

eng

DegreeName: Doctor of Philosophy

Level: Doctoral Degree

Descipline: Education

Grantor: Chiang Mai University

©copyrights Chiang Mai University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	650251004.pdf	5.24 MB	8	2025-10-04 17:16:50

ใช้เวลา

-0.977767 วินาที