Rape myth among college students

มายาคติการข่มขืนกระทำชำเราของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย

Name: Kanittha Lertbunchardwong

LCSH: Rape in universities and colleges -- Thailand

LCSH: Rape -- Social aspects

LCSH: Sexual harassment in universities and colleges -- Thailand

Abstract: The objectives of this study are to investigate the rape myth among college students, and to propose the guidelines for preventing and addressing the rape problems within a university. This study employed a mixed-methods approach by integrating qualitative and quantitative data collections and analyses. The quantitative sample included 400 college students in Bangkok, while the qualitative sample consisted of 20 participants including college administrators, instructors, college staff, and college students. Questionnaires and indepth interview forms were used to collect the data. The findings revealed a high level of the rape myth among college students. Being a female was at risk of being raped at any time, any place, and any age. There was no guarantee that acquaintances or intimate friends would not exploit the relationship. A lack of self-restraint was the major cause of rape. The judicial process in handling the rape should be improved and administrated effectively. The proper upbringing of young children and parenting could reduce the problem of rape myth. Therefore, the knowledge on the rape should be enhanced through a proper design and the improvement of public awareness and social communication. This study reflected the attitudes on gender equality and presented the analysis of the causes of rape based on the current situations in the society. The study proposed the recommendations including ducating the college students about human rights and gender equality to eliminate the misperception about the rape myth, avoiding wearing provocative outfits, being careful of intimate friends, promoting the campaigns against selling alcohol and drugs, controlling the distribution of pornography and sexual media within schools and surrounding areas, providing the public access to sexual misconduct statistics and data, and employing the environmental crime prevention to reduce the opportunities for sexual offenders, monitoring and reporting the suspicious events that might lead to the rape in schools. In addition, educational institutions should provide the complaint mechanisms and remedy channels for victims.

Abstract: มายาคติการข่มขืนกระทำชำเราของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมีมานานหลายทศวรรษแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาที่มีวัตถุประสงค์ทางวิชาการหรือไม่ก็ตาม แต่ยังมีการศึกษาน้อยมากในระดับอุดมศึกษา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามายาคติ และความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อการข่มขืนกระทำชำเรา และเพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขและป้องกันยับยั้งการนำไปสู่การข่มขืนกระทำชำเราในมหาวิทยาลัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสานการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณคือ นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คนกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ตัวแทนจากผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยและตัวแทนนักศึกษารวมจำนวน 20 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ในเชิงลึก การศึกษาแบ่งออกเป็น 8 ด้านคือด้านความคิดเห็นทั่วไป ด้านสาเหตุการข่มขืน ด้านปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ด้านการข่มขืนภรรยาหรือคู่รัก ด้านการบริหารจัดการกับความเสี่ยง ด้านแผนเผชิญเหตุ ด้านการสื่อสารและด้านการเยียวยาแก้ไขฟื้ นฟู ผลการวิจัยพบว่าภาพรวมมายาคติของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่อการข่มขืน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก การเป็นผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อการถูกข่มขืนได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา และทุกวัย ไม่มีหลักประกันความเสี่ยงว่าคนใกล้ตัวหรือรู้จักจะไม่ฉวยโอกาสข่มขืน สาเหตุการข่มขืนมักเกิดจากการไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ต้องมีการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมรับมือกับการข่มขืนอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ มายาคติด้านการข่มขืนจะลดลงหากมีการอบรมสั่งสอนตั้งแต่วัยเยาว์จึงต้องมีการออกแบบและปรับปรุงการสื่อสารทางสังคมให้ถูกต้องเกี่ยวกับการข่มขืน การศึกษานี้สะท้อนให้เห็นทัศนคติของความเสมอภาคทางเพศ การวิเคราะห์สาเหตุและเหตุผลในสภาพความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันข้อเสนอแนะการแก้ไขป้องกันควรอบรมนักศึกษาให้เคารพในสิทธิมนุษยชนและเพศสภาพเพื่อขจัดความหลงยึดติดในมายาคติการข่มขืน การแต่งกายต้องไม่ยั่วยวนและควรระมัดระวังคนใกล้ชิด ควรมีการรณรงค์ห้ามจำหน่ายหรือเสพสุรา สารเสพติด ของมึนเมา รวมทั้งป้องกันการแพร่ระบาดของสื่อลามกอนาจารหรือสิ่งยั่วยุทางกามารมณ์ในมหาวิทยาลัยและบริเวณโดยรอบ ควรเปิดเผยสถิติข้อมูลการกระทำความผิด การดัดแปลงสภาพแวดล้อม เพื่อลดช่องโอกาสในการกระทำความผิด ช่วยกันสอดส่องดูแลและรายงาน หากพบเห็นความผิดปกติที่จะส่อไปถึงโอกาส ช่องทางที่จะนำไปสู่การข่มขืนภายในมหาวิทยาลัย ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายสถาบันการศึกษาควรมีหน่วยงานหลักในการรับเรื่องร้องเรียนให้คำปรึกษาคอยช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อโดยตรงและจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับด้านคุณธรรมและ จริยธรรม การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคในเพศสภาพ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหามายาคติการข่มขืนในมหาวิทยาลัยต่อไป

Mahidol University. Mahidol University Library and Knowledge Center

Address: NAKHONPATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Srisombat Chokprajakchat

Role: Thesis Advisors

Name: Attapol Kuanliang

Role: Thesis Advisors

Name: Toriman, Mohd Ekhwan

Role: Thesis Advisors

Name: Theerat Bunnag

Role: Thesis Advisors

Created: 2021

Modified: 2025-05-19

Issued: 2025-05-19

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

eng

DegreeName: Doctor of Philosophy

Level: Doctoral Degree

Descipline: Criminology, Justice Administration and Society

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	5937226.pdf	1.45 MB

ใช้เวลา

0.302556 วินาที