พฤติกรรมเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์จากการใช้โทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน กรณีศึกษานิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน

SMARTPHONE USING RISK BEHAVIORS FOR CYBERCRIME VICTIMISATION: A CASE STUDY OF KASETSART UNIVERSITY, BANG KHEN CAMPUS, STUDENTS

Name: เจษฎาพงษ์ ค้ำชู, ส.ต.ท.

Address: คณะสังคมศาสตร์

Organization : โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

keyword: อาชญากรรมคอมพิวเตอร์

ThaSH: อาชญากรรมคอมพิวเตอร์

; เหยื่ออาชญากรรม

ThaSH: เหยื่ออาชญากรรม

; โทรศัพท์มือถือ

Abstract: งานวิจัยนี้ เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมเสี่ยงต่อ การตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์จากใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและลักษณะการใช้โทรศัพท์มือถือกับพฤติกรรมเสี่ยงต่อ การตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วน และเก็บ รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ระดับค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปร 2 กลุ่ม โดยใช้ t-test ตัวแปรมากกว่า 2 กลุ่ม ใช้ F-test โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลจากวิจัยพบว่า นิสิตผู้ตอบแบบสอบถามมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ทางคอมพิวเตอร์ในภาพรวมอยู่ในระดับ ค่อนข้างต่ำ โดยมี 3 พฤติกรรม ที่มีระดับของความเสี่ยงภัย ต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ในระดับ ค่อนข้างสูง คือ 1) นิสิตผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่มักจะวางโทรศัพท์มือถือในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่ายและห่างจากตัวของนิสิตผู้ตอบ แบบสอบถามเอง 2) บ่อยครั้งที่นิสิตผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใช้งาน Wi-Fi สาธารณะ (public Wi-Fi) ซึ่งความเสี่ยงภัยจากการใช้ Wi-Fi สาธารณะ และ 3) นิสิตผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่บันทึก ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์และบัญชีธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ไว้ใน โทรศัพท์มือถือ เช่น การตั้งค่าการเข้าใช้งานแบบ Auto - Log in และการจดจำรหัสผ่าน (cookie) ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย ในส่วนของปัจจัยส่วนบุคคล พบว่ามีตัวแปรด้านภูมิลำเนา ของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือที่แตกต่างกันมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทาง คอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เพียงตัวแปรเดียว โดยตัวแปรด้าน เพศ อายุ คณะที่ศึกษา และที่อยู่ปัจจุบัน ของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือที่แตกต่างกัน ไม่มีพฤติกรรม เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ ในส่วนของ ปัจจัยด้านลักษณะการใช้งานโทรศัพท์มือถือ พบว่า จำนวนโทรศัพท์มือถือ จำนวนเลขหมาย โทรศัพท์มือถือ ระยะเวลาที่ใช้งานโทรศัพท์มือถือมาแล้ว ระยะเวลาในใช้งานโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้ งานสื่อสังคมออนไลน์ และการเลือกใช้ระบบปฏิบัติของโทรศัพท์มือถือที่แตกต่างกันมีพฤติกรรมเสี่ยง ต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะในการวิจัยในครั้งนี้ คือ การปรับพฤติกรรมเพื่อลดระดับความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ จากพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงภัยในระดับ ค่อนข้างสูง จำนวน 3 พฤติกรรม คือ การดูแลรักษาโทรศัพท์มือถือให้ใกล้ชิดมากขึ้น ไม่ควรปล่อยปะละเลย จนนำไปสู่การเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีทาสามารถลักขโมยโทรศัพท์มือถือไปได้ การเข้าถึง Wi-Fi ในที่สาธารณะ หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงก่อนเป็นอันดับแรก แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรตรวจสอบ ให้แน่ใจก่อนว่า Wi-Fi ที่จะเข้าใช้มีที่มาที่ไปอย่างถูกต้องสมเหตุสมผล ตัวอย่างเช่นเมื่อต้องการจะเข้าใช้ Wi-Fi สาธารณะในร้านกาแฟ ก็ควรจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อนจะเชื่อมต่อว่าเป็น Wi-Fi ของทางร้านจริง และการตั้งค่า Auto – Log in รวมไปถึง Cookie ถึงจะง่ายต่อการเข้าใช้งาน แต่ถ้าหากโทรศัพท์มือถือเกิดสูญหาย หรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี อาจจะเป็นการง่ายในการเข้าถึง โปรแกรม แอพพลิเคชั่นต่างๆได้ ดังนั้นจึงควรยกเลิกการเข้าใช้งานแบบ Auto – Log in ในแอพพลิเคชั่นที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ แอพพลิเคชั่นที่มีความ เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล หรือการตั้งรหัสผ่านอีกชั้นหากต้องการใช้งานโปรแกรม หรือ แอพพลิเคชั่น เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ในการเลือกใช้โทรศัพท์มือถือควรเลือก ระบบปฏิบัติการที่ทำการอุดช่องโหว่ของการโจมตีทางคอมพิวเตอร์ได้มากที่สุด และที่สำคัญความ ปลอดภัยจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือเกิดขึ้นได้จากความรู้ความเข้าใจของผู้ใช้งานเอง หากผู้ใช้งานมีความถนัดในการใช้งานระบบปฏิบัติการใดก็ควรศึกษาการใช้งานให้ปลอดภัยอย่างถี่ถ้วน แล้วใช้งาน โทรศัพท์มือถืออย่างระมัดระวัง การลดการใช้งานโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ เป็นทางเลือกหนึ่งในการลดความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้ และ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงปลอดภัย ทางไซเบอร์และหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านการสืบสวน สอบสวนทางไซเบอร์ ควรจัดสร้างหลักสูตรทั้ง หลักสูตรระยะยาว และระยะสั้น รวมถึงการประชาสัมพันธ์ด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ ต่อสาธารณชน (public awareness) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สาหรับ ประชาชนที่ใช้งานโทรศัพท์มือถือมากกว่า 1 เครื่อง โดยใช้งานโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ในใช้งาน สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อลดระดับพฤติกรรมเสี่ยงภัยต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ในภาพรวมในที่สุด

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ. ห้องสมุดโรงเรียนนายร้อยตำรวจ.

Address: นครปฐม

Email: library@rpca.ac.th

Name: เสกสัณ เครือคำ, พ.ต.ท.

Role: อาจารย์ที่ปรึกษา

Created: 2561

Modified: 2567-12-18

Issued: 2567-12-18

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

tha

DegreeName: ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: Program in Criminology and Law Enforcement

Grantor: โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

©copyrights โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	เจษฎาพงษ์ ค้ำชู2561.pdf	2.31 MB	4	2025-12-19 10:22:14

ใช้เวลา

0.039043 วินาที