Title
การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของการใช้ครีมน้ำมันจมูกข้าวสาลีกับครีมเบสเพื่อการรักษาผื่นผิวแห้งอักเสบบริเวณด้านหน้าของขาส่วนล่างในผู้ป่วยสูงอายุคนไทย
Title Alternative
A Comparative study of the efficacy of wheat germ oil cream and cream base in the treatment of asteatotic eczema on anterior part of lower leg in Thai elderly
Description
Abstract:
ผิวหนังของผู้สูงอายุในประเทศไทย พบว่าร้อยละ 70 มีภาวะผิวแห้งจากชั้นผิวหนังที่บางลง การอุ้มน้ำ และความชุ่มชื้อลดลง และก่อให้เกิดโรคผิวแห้งอักเสบ โดยมีสาเหตุกระตุ้นหลายประการ มลพิษ สภาพแวดแล้ว รังสี UV ทั้งนี้ผู้วิจัยจได้ศึกษาและพบว่า วิตามินอี เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สามารถช่วยรักษาอาการผิวแห้งได้ดี จากการศึกษายังพบว่า วิตามินอีโดยธรรมชาติถูกพบปริมาณมากในน้ำมันจมูกข้าวสาลีหรือวีทเจิร์ม (Wheat germ) กล่าวคือน้ำมันจมูกข้าวสาลีมีกลไกลการทำงานต่อผิวหนังโดยอ้างอิงจากการทำงานของวิตามินอีต่อระบบผิวหนังคือ ต้านอนุมูลอิสระบริเวณผิวหนังเกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการโครงสร้างทางเคมีของฟีโนลิกไฮดรอกซีล (Phenolic hydroxyl (OH)) ปล่อยไฮโรเจนอะตอมให้เพอรอสซีล เรดิคอล (Peroxyl radical (PUFAOO*)) ทำให้เกิดลิพิตแบบเสถียรคือ PUFAOOH เมื่อวิตามินอีเสียไฮโดรเจนอะตอมไป วิตามินอีจะมีสถานะทางเคมีเป็น non-reactive free radical จากที่อิเล็กตรอนที่ไม่มีคู่ย้ายเข้าวงแหวนอะโรเมติก เมื่ออะตอมเข้าแทนที่บริเวณผนังเซลล์ ตำแหน่งใกล้กรดไขมันที่ไม่เสถียร polyunsaturated fatty acids ของผนังเซลล์และส่งผลรบกวนปฏิกิริยาห่วงโซ่ วิตามินอีหยุดปฏิกริยาโดยการปล่อยไฮโดรเจนอะตอมจากหมู่ OH ให้ลิพิตที่ไม่เสถียร unsaturated lipid หรือให้ lipid peroxyl radical (PUFOO*) เกิดเป็น tocopheroxyl stable radical (VE-O*) ซึ่งมีพลังงานต่ำ และไม่ถูกเปลี่ยนเป็นสารอนุมูลอิสระ วิตามินอียังมีปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระที่ประกอบด้วย lipid radicals ซึ่งทำงานโดยตรงต่อ radicals singlet oxygen และ superoxide anion งานวิจัยนี้ยังแสดงถึงการทำงานของวิตามินอีในกรณีเซลล์โดนทำร้ายด้วยสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตบนผิวหนังทั้ง lipid peroxidation แสงแดดที่ทำให้เกิดสภาวะเสื่อมโทรมของผิว immunosuppression และ สารก่อมะเร็งจากแสง
ซึ่งวิตามินอีสามารถลดภาวการณ์อักเสบบริเวณผิวหนังจากผลิตภัณฑ์โพรสตร้าแกรนด์ดิน (prostaglandin) ในกระบวนการ pro-inflammatory cytokines, cyclooxygenase-2 (COX-2) และ NADPH oxidase นอกเหนือจากความสามารถในการต้านการอักเสบแล้ว วิตามินอียังมีบทบาทในกระบวนการลด collagenase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ลดคอลลาเจนบริเวณผิวผ่านกระบวนการส่งสัญญาณผ่าน protein kinase C (PKC) และ phosphatidylinositol 3-kinase (PI3-K) signaling pathways โดย PKC อาจปรากฏในรูปแบบควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ ซึ่งปฏิกิริยาระหว่างวิตามินอี และ PKC ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงทีเดียว แต่จะป้องกันการเกิดปฏิกริยาที่ระดับเซลล์ (Herrera & Barbas, 2001)
วิตามินอีมีบทบาทโดยตรงกับการลดการเปลี่ยนแปลงของคอลลาเจน collagen degradation โดยการยับยั้ง metalloprotein 1 (MMP-1) ซึ่งเป็นสารสำคัญในกระบวนการ
การสลายคอลลาเจน collagen hydrolysis ซึ่งจะปรากฎในผิวหนังระดับลึกซึ่งเป็นจะเป็นตัวลดสารก่อมะเร็งจากแสง บริเวณผิวหนัง ซึ่งจะถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหลักที่สำคัญชนิดหนึ่งบริเวณผิวหนัง อย่างไรก็ตามวิตามินอียังป้องกันการเกิด lipoperoxidation ที่บริเวณผิวเซลล์ และป้องกันการเกิด degradation ของเซลล์ไขมันซึ่งสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังที่ดี มีบทบาทต่อการป้องกันการโดยทำร้ายจากแสงแดด อาการแดงแสบบริเวณผิวหนัง ลดการเกิด cyclobutene pyrimidine dimer (CPD) จาก UVB
วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการใช้ครีมเบสซึ่งเป็นการรักษาแบบมาตรฐานและครีมน้ำมันจมูกข้าวสาลีในการรักษาผิวแห้งอักเสบในผู้สูงอายุ โดยทำการศึกษาในผู้สูงอายุ คนไทย ชายหญิง ที่มีภาวะผิวแห้งมาก และไม่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวานชนิดควบคุมไม่ได้ ไตวาย เป็นต้น จำนวน 28 คน กำหนดให้ทาครีมบริเวณด้านหน้าของขาช่วงล่างในผู้ป่วยคนเดียวกัน โดยการสุ่มข้างจับฉลากข้างซ้ายและขวาให้ผู้ป่วย และกำหนดให้ผู้ป่วยโดยผู้ป่วยไม่ทราบชนิดของครีมที่ใช้ในแต่ละข้าง เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ทำการประเมินสภาพความยืดหยุ่นโดยใช้เครื่องมือ Cutometer MPA 580 ที่สัปดาห์ที่ 0, 2, 4 และ 8 ประเมินความ
พึงพอใจหลังการใช้ครีมทั้งสองชนิดในสัปดาห์ที่ 8 และประเมินผลข้างเคียงตลอดการรักษา
ผลการศึกษาพบว่า คะแนนความยืดหยุ่นของผิวหนังในข้างที่ใช้ครีมผสมน้ำมันจมูกข้าวสาลีให้ผลการรักษาที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนรักษาอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) ผลการสำรวจความ
พึงพอใจของอาสาสมัครหลังการรักษาพบว่าการรักษาด้วยการใช้ครีมเบสและการใช้ครีมผสมน้ำมันจมูกข้าวสาลีทั้งสองชนิดอยู่ในระดับดีมากที่สุดทั้งสองชนิด และไม่พบอาการระคายเคืองรุนแรงหลังการรักษาทั้งสองชนิด แต่พบอาการคันเล็กน้อยหลังการใช้ครีมผสมน้ำมันจมูกข้าวสาลีในครั้งแรก และหายเองภายใน 2-3 นาที
Publisher
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา
Rights
©copyrights มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง