ประสิทธิภาพเชิงเศรษฐกิจในการผลิตกระเจี๊ยบเขียวของเกษตรกรในเขตภาคกลางของประเทศไทยภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา
 
    
    Economic efficency of okra production under contract farming in Central Thailand
 			  
			  
    
    Abstract:
     กระเจี๊ยบเขียว (Abelmoschus esculentus L. Moench) เป็นพืชผักส่งออกชนิดหนึ่งของประเทศไทยมีตลาดสำคัญคือ ประเทศญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารและคุณค่าทางสมุนไพรรักษาโรค จากบันทึกประวัติการปลูกกระเจี๊ยบเขียวเพื่อส่งออกของประเทศไทย พบว่า มีการส่งออกกระเจี๊ยบเขียวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 โดยมีการปลูกกันในระบบตลาดแบบข้อตกลงล่วงหน้า กล่าวคือ ก่อนปลูกเกษตรกรต้องติดต่อหาผู้รับซื้อที่แน่นอน มีเงื่อนไขการซื้อที่ดีและทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า มิฉะนั้นผู้ปลูกจะไม่สามารถหาตลาดได้หรือถูกกดราคา โดยประมาณร้อยละ 98 ของผลผลิตฝักสดถูกส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนจากการผลิตกระเจี๊ยบเขียวของเกษตรกรในเขตภาคกลางของประเทศไทยภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา 2) วิเคราะห์ประสิทธิภาพการผลิตกระเจี๊ยบเขียวของเกษตรกรในเขตภาคกลางของประเทศไทยภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา 3) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการผลิตกระเจี๊ยบเขียวของเกษตรกรในเขตภาคกลางของประเทศไทยภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา และ 4) วิเคราะห์กลยุทธ์ในการผลิตกระเจี๊ยบเขียวเพื่อการส่งออกของเกษตรกรในจังหวัดนครปฐม เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (mixed methodology) ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative) และเชิงคุณภาพ (qualitative) ใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม เป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรผู้ปลูกกระเจี๊ยบเขียวเพื่อการส่งออกในเขตภาคกลางของประเทศไทย ปีการเพาะปลูก 2559/60 จำนวน 260 ราย จากจำนวนครัวเรือนของเกษตรกรผู้ปลูกกระเจี๊ยบเขียวเพื่อการส่งออกตามทะเบียนของกรมส่งเสริมการเกษตร พ.ศ. 2559 รวมทั้งสิ้น 740 ราย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ สถิติเชิงพรรณณา โดยใช้ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาวัดประสิทธิภาพการผลิตกระเจี๊ยบเขียวเพื่อการส่งออกด้วยวิธี Stochastic frontier analysis (SFA) โดยอาศัยการวิเคราะห์เส้นพรมแดนการผลิตแบบ Cobb-Douglas ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิตและผลผลิตกระเจี๊ยบเขียว วิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการผลิตกระเจี๊ยบเขียวเพื่อการส่งออก โดยการวิเคราะห์การถดถอยโทบิท (tobit regression) ใช้ตัวแบบ generalized linear mixed model (GLM) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า ผลตอบแทนการผลิตกระเจี๊ยบเขียวของเกษตรกรในเขตภาคกลางของประเทศไทยภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา พบว่าเกษตรกรมีต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 8,025.30 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต คิดเป็นร้อยละ 80.80 มีต้นทุนคงที่เฉลี่ย 1,907.48 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต คิดเป็นร้อยละ 19.20 มีต้นทุนรวมทั้งหมดเฉลี่ย 9,932.78 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต มีกำไรสุทธิเฉลี่ย 47,868.57 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต และมีปริมาณผลผลิตที่คุ้มทุนเฉลี่ย 99.11 กิโลกรัมต่อไร่ต่อรอบการผลิต หมายความว่า เกษตรกรในเขตภาคกลางต้องผลิตและขายผลผลิตกระเจี๊ยบเขียวให้ได้มากกว่า 100.00 กิโลกรัมต่อไร่ต่อรอบการผลิต จึงจะได้กำไรจากการผลิตกระเจี๊ยบเขียวเพื่อการส่งออก ประสิทธิภาพการผลิตกระเจี๊ยบเขียวของเกษตรกรในเขตภาคกลางของประเทศไทยภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา ผลการคำนวณพบว่า การใช้ปัจจัยการผลิตของเกษตรกรในเขตภาคกลางของประเทศไทย มีประสิทธิภาพเฉลี่ยสูงถึง 0.79 ทั้งนี้เกษตรกรในเขตภาคกลางของประเทศไทยยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อีกร้อยละ 21 ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการผลิตกระเจี๊ยบเขียวของเกษตรกรในเขตภาคกลางของประเทศไทยภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา โดยการวิเคราะห์การถดถอยโทบิท (tobit regression) พบว่า อายุ และระดับการศึกษาสูงสุดของเกษตรกร มีอิทธิผลต่อประสิทธิภาพการผลิตกระเจี๊ยบเขียวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเพศของเกษตรกร มีอิทธิผลต่อประสิทธิภาพการผลิตกระเจี๊ยบเขียวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.10 สำหรับกลยุทธ์ในการผลิตกระเจี๊ยบเขียวเพื่อการส่งออกของเกษตรกรในจังหวัดนครปฐม ศึกษาโดยวิธี SWOT analysis และ TOWS matrix ผลการศึกษาพบว่า กลยุทธ์เชิงรุก: SO ได้แก่ ให้บริษัทผู้ส่งออกเพิ่มงบประมาณให้เพียงพอและเป็นระบบให้มากขึ้นในการดำเนินกิจกรรมเพื่อพัฒนาเกษตรกร รวมทั้งการรับประกันรายได้ของเกษตรกร การให้เกษตรกรเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของบริษัทผู้ส่งออกและตลาดต่างประเทศ รวมถึงการแปรรูปกระเจี๊ยบเขียวเพื่อเพิ่มมูลค่าและขายให้กับผู้บริโภคโดยตรงในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิต ความรู้ และข่าวสารไปยังเกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นสอดคคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในต่างประเทศ กลยุทธ์เชิงรับ: ST ได้แก่ การติดตาม (follow up) บริษัทผู้ส่งออกกระเจี๊ยบเขียวในการจัดหาปัจจัยการผลิต (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดพันธุ์) ที่ให้ผลผลิตสูง และมีความต้านทานโรคให้แก่เกษตรกรทุกคนอย่างเข้มงวด เพื่อแก้ปัญหาสภาพอากาศและฤดูกาลซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อผลผลิตกระเจี๊ยบเขียวโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ตลอดจนการเพิ่มการสุ่มตรวจสอบแปลงปลูก และสภาพแวดล้อมในการผลิตของเกษตรกรโดยกรมวิชาการเกษตร เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของโรงงานอุตสาหกรรมในจังหวัดนครปฐม ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทรัพยากรน้ำระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับการเพาะปลูกของเกษตรกรในภาคเกษตรกรรม กลยุทธ์เชิงป้องกัน: WT ได้แก่ การจัดทำแผนกลยุทธ์การพัฒนาผลผลิตกระเจี๊ยบเขียวเพื่อการส่งออก เพื่อแก้ปัญหาการลดลงของผลผลิตกระเจี๊ยบเขียวในช่วงฤดูฝน และเกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์จากแปลงไว้ใช้ได้ เนื่องจากอาจเกิดการผสมข้ามพันธุ์ การพัฒนาการสนับสนุนจากภาครัฐ และการพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความรู้ตามความต้องการของเกษตรกร โดยกรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร และบริษัทผู้ส่งออกกระเจี๊ยบเขียว กลยุทธ์เชิงแก้ไข: WO ได้แก่ การสร้างเกษตรกรต้นแบบที่ประสบผลสำเร็จเพื่อจูงใจเกษตรกรที่ไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทผู้ส่งออกกระเจี๊ยบเขียวจากความ สำเร็จของกลุ่มเกษตรกรที่ทำสัญญาซื้อขาย และการผลักดันให้มีแคมเปญและการออกสื่อโฆษณาเกี่ยวกับการบริโภคผลิตภัณฑ์กระเจี๊ยบเขียวที่เพิ่มมากขึ้น       
    
 
            		
    
    
     สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. สำนักหอสมุดกลาง       
    
 
            		
    
    Email:
     Lifelong@kmitl.ac.th       
    
 
            			  
			  
    
    Role:
     อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์       
    
 
            		
    
    Email :
     teerawat.sa@kmitl.ac.th       
    
 
            			  
			  
    
    Role:
     อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม       
    
 
            		
    
    Email :
     panya.ma@kmitl.ac.th       
    
 
            		
    
    ©copyrights สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง