The addiction of kratom plants among rubber plantation's farmers in Southern provinces of Thailand

การเสพติดพืชกระท่อมของกลุ่มผู้ทำสวนยางในภาคใต้ของประเทศไทย

Name: Kanisorn Kaewlue.

LCSH: Kratom (plants)

LCSH: Mitragyna speciosa.

Abstract: The objective of this qualitative research is to study the daily behaviors including problems, obstacles, and need of Kratom plant addiction among rubber plantation’s farmers in southern provinces of Thailand. The population of this research were rubber plantation’s farmers in fourteen provinces in southern Thailand. The twelve farmers were separated into upper part and lower part using structured interview questions. The results of this research were concluded as follows: 1) Personal data; they were eleven males and one female from 25 to 60 years old. The average age was 44 years old. Most of them were Buddhists and Islamists with primary education background and they mostly got married. Their monthly incomes were approximately 15, 000 - 30,000 baht. 2.) Daily addictive behavior; the users confront using of the plants among members in their families. Those family members introduced the plants to promote the effectiveness of work. Also, the plants were used as herbal medicine and tonic. The participants were dependent in both physically and mentally. The usage of the plants are also in local cultural purpose e.g. ancestors’ spirits offerings, welcoming treats for visitors, etc. 3.) Addictive behavior; Kratom plants were available from their neighborhood (e.g. the plants were grown in the area around their shelters, buying-selling among community members). The formats of use were varied depending on how much work they had. Most farmers start eating Kratom plant leaves amount of work as soon as they wake at night before leaving for work, during work and after work respectively. The popular eating format is chewing fresh leaves together with other energy drinks, brewing as tea. The frequency of use was not significantly different depending on how much work they had. 4.) Problems, obstacles and need for Kratom plant; There was difficulty in using the plants due to legal enforcement by police officers. Demand of the leaves was main reason to not want to leave their areas because they continually consume for work. Some farmers had shown the short-term and long-term considerations to stop using the plants due to personal physical problems and influences from family members. 5.) Recommendation from the study; The government and private sectors should consider the context of Kratom plant usage as part of local culture heritage and tradition. The Kratom plant revealed their advantages in many aspects (e.g. working efficiency, disease treatment, physical nourishing, etc.) For the medical and physician benefits, we need to carefully consider legal aspects of Kratom plants in both advantages and disadvantages to avoid incorrect usage. The research should further qualitative study to compare the effects of Kratom plants to government policy for the highest benefits.

Abstract: การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมการใช้พืชกระท่อมใน ชีวิตประจำวันของกลุ่มเกษตรกรผู้ทำสวนยางพาราในภาคใต้ ศึกษาถึงพฤติกรรมการเสพติดของชาวสวนยางพาราใน จังหวัดภาคใต้ที่ใช้พืชกระท่อม และศึกษาปัญหา อุปสรรค และความต้องการในการเสพพืชกระท่อม กลุ่มประชากรเป็น กลุ่มเกษตรกรผู้ทำสวนยางพาราใน 14 จังหวัดภาคใต้ แบ่งออกเป็นจังหวัดภาคใต้ตอนบนและจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง จำนวน 12 คน ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) ด้านข้อมูลส่วนบุคคล กลุ่มเกษตรกรผู้ทำสวนยางพาราส่วนใหญ่เป็นเพศชายจำนวน 11 คนและเพศ หญิงจำนวน 1 คน อายุระหว่าง 25 – 60 ปี อายุเฉลี่ย 44 ปี ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและอิสลาม ระดับการศึกษาอยู่ใน ระดับประถมศึกษา สถานภาพสมรส รายได้ต่อเดือน 15,000 – 30,000 บาท 2) ด้านพฤติกรรมการใช้พืชกระท่อมในชีวิตประจำวัน พบเห็นบุคคลในครอบครัวมีการใช้ประจำอยู่แล้ว แนะนำให้ทดลองใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานและใช้ในด้านการบำบัดรักษาโรคและบำรุงกำลัง มีภาวะการพึ่งพา ทั้งทางด้านร่างกายและด้านจิตใจ รวมถึงมีการนำมาใช้ในเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น บูชาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ต้อนรับแขก เป็นต้น 3) ด้านพฤติกรรมการเสพติดของชาวสวนยางพารา แหล่งที่มาของพืชกระท่อมส่วนใหญ่จะปลูกพืช กระท่อมไว้บริเวณรอบบ้านและจากการซื้อ-ขาย รูปแบบการเสพจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณของงานที่ทำมาก หรือน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เกษตรกรจะเริ่มกินใบกระท่อมหลังจากตื่นนอนช่วงกลางคืนก่อนออกไปทำงาน กินระหว่างทำงาน กินหลังจากทำงานตามลำดับ วิธีการกินที่นิยม คือ การเคี้ยวกินใบสด การใช้ร่วมกับเครื่องดื่มบำรุงกำลัง การดื่มแบบน้ำชา และความถี่ในการใช้ไม่แตกต่างกันมากขึ้นกับจำนวนปริมาณของงานที่ทำอีกด้วย 4) ด้านปัญหา อุปสรรค และความต้องการใช้พืชกระท่อม มีความยากลำบากในการใช้พืชกระท่อมต้อง ระมัดระวังเมื่อนำมาใช้เพราะกลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับ ทำให้ไม่อยากเดินทางออกนอกพื้นที่เพราะไม่มีพืชกระท่อมไว้ใช้ ซึ่ง ส่วนใหญ่กลุ่มเกษตรกรจะใช้เพื่อการทำงานเป็นหลักและยังใช้งานต่อเนื่อง และเกษตรกรบางรายมีความคิดที่จะหยุดใช้พืช กระท่อมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพและจากสมาชิกภายในครอบครัว 5) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย คือ ภาครัฐและภาคเอกชนควรมีการพิจารณาถึงบริบทของการใช้พืชกระท่อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมท้องถิ่นในภาคใต้ที่มีมายาวนานนับแต่บรรพบุรุษ และพืชกระท่อมเป็นพืชที่มีประโยชน์ใน เชิงบวกมากว่าเชิงลบ มีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านการเสริมประสิทธิภาพการทำงาน, การรักษาโรค, การบำรุงกำลัง เป็นต้น รวมถึงประโยชน์ในด้านการแพทย์แผนปัจจุบันและด้านแผนอายุรเวท ทั้งนี้ประเด็นด้านกฎหมายต้องมี การศึกษาให้รอบคอบ ทั้งด้านผลดีและผลเสียของพืชกระท่อม เพื่อช่วยลดปัจจัยความเสี่ยงต่อพฤติกรรมที่จะนำไปใช้ ในทางที่ผิด ในการศึกษาวิจัยควรมีการศึกษาเชิงคุณภาพเพื่อเปรียบเทียบถึงผลที่ได้ให้สอดคล้องกับนโยบายหรือแนวทาง ของภาครัฐเพื่อให้ได้ซึ่งประโยชน์ของพืชกระท่อมให้มากที่สุด

Mahidol University. Mahidol University Library and Knowledge Center

Address: NAKHONPATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Tanunsak Barwornnuntakul

Role: Thesis Advisors

Name: Seree Woraphong

Role: Thesis Advisors

Created: 2014

Modified: 2019-11-07

Issued: 2019-11-07

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

CallNumber: TH K16a 2014

eng

DegreeName: Master of Arts

Level: Master's Degree

Descipline: Addictionology

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	5136883.pdf	1.28 MB	20	2025-05-18 19:33:17

ใช้เวลา

-0.724607 วินาที