ประสิทธิผลการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง

The effectiveness of Thai women empowerment fund policy implementation for women quality of life development in the area of the central province group

Name: นงนภัส ไพรศรี

keyword: การนำนโยบายไปปฏิบัติ

ThaSH: นโยบายเศรษฐกิจ -- ไทย

Classification :.DDC: 333.36

Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิผลการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง 3) เสนอแนะให้มีการปรับปรุงปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีในกลุ่มจังหวัดภาคกลางให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธีชนิดพร้อมเวลาทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้เครื่องมือ คือ 1) การวิจัยเอกสาร 2) การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 27 คน ในระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติ และระดับพื้นที่ จำนวน 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้าราชการกรมการพัฒนาชุมชน ระดับจังหวัดและอำเภอ คณะกรรมการและสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เลือกโดยเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการอุปมานวิเคราะห์ และตีความ สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ ดำเนินการวิจัย โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน จากข้าราชการกรมการพัฒนาชุมชน ระดับจังหวัดและอำเภอ คณะกรรมการและสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ขนาดกลุ่มตัวอย่างได้จากสูตรของทาโร่ ยามาเน่ โดยการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีความเชื่อมั่น 0.91 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิผลการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติ โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกด้านและเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากที่สุดไปหาต่ำสุด ดังนี้ (1) ด้านความสำเร็จของนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ช่วยเพิ่มรายได้โดยการสร้างโอกาสทางอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ (2) ด้านความเสมอภาค ยุติธรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน และ (3) ด้านความพึงพอใจในคุณภาพชีวิตของสมาชิก ตามลำดับ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีในกลุ่มจังหวัดภาคกลางประกอบด้วย (1) ปัจจัยนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยรวมและรายด้านมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก และเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากที่สุดไปหาต่ำสุด ดังนี้ ด้านความชัดเจนของนโยบาย ด้านทรัพยากรในการดำเนินงาน ด้านนโยบายสามารถนำไปปฏิบัติได้ และด้านนโยบายสามารถวัดผลและประเมินผลได้ ตามลำดับ (2) ปัจจัยการนำนโยบายของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากที่สุดไปหาต่ำสุด ดังนี้ ด้านการมีภาวะผู้นำของสมาชิก ด้านหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ด้านการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน ด้านการมีส่วนร่วม ด้านการบริหารจัดการทรัพยากร ด้านลักษณะของผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ และด้านการประสานงานและการติดต่อสื่อสาร ตามลำดับ ตัวแปรนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ประกอบด้วย ด้านสามารถวัดผลการดำเนินงานได้ และด้านทรัพยากรในการดำเนินงาน สามารถอธิบายความผันแปรของประสิทธิผลโดยรวมของนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ได้ร้อยละ 35.10 (R2 = 0.351) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ตัวแปรปัจจัยการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติ ประกอบด้วย ด้านการบริหารจัดการทรัพยากร ด้านการมีส่วนร่วมของสมาชิก ด้านการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน และด้านการประสานงานและการติดต่อสื่อสาร สามารถอธิบายความผันแปรของประสิทธิผลโดยรวมของนโยบาย ได้ร้อยละ 52.00 (R2 = 0.520) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีในกลุ่มจังหวัดภาคกลางให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ประกอบด้วย (1) ปัจจัยด้านนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ควรมีการปรับปรุงพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการกองทุน ระดับพื้นที่ และกำกับติดตามตรวจสอบการใช้เงินกองทุนเพื่อป้องกันการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ รวมถึงการให้คณะกรรมการกองทุนระดับจังหวัดตรวจสอบอย่างจริงจัง และควรให้มีระบบประเมินผลการดำเนินงานกองทุนที่รัดกุม (2) ปัจจัยด้านการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติ ประกอบด้วย หน่วยงานที่นำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติ คือกรมพัฒนาชุมชนต้องเข้มงวดกวดขันการเบิกจ่ายเงินกองทุนให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของกองทุนอย่างแท้จริง เพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในระเบียบ กฎเกณฑ์ ข้อปฏิบัติของกองทุนให้กับสมาชิก เสริมสร้างภาวะผู้นำ ให้มีศักยภาพสูงขึ้นและขยายบทบาทของสตรีไปสู่การเป็นผู้นำชุมชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของการพึ่งตนเอง ผลการสังเคราะห์จากการวิจัย พบว่า ประสิทธิผลการนำนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตั้งอยู่บนพื้นฐานของตัวแบบ ที่เรียกว่า CP+RM+2E = 2SE Model ประกอบด้วย (1) การประสานงาน (Coordinating) และ การมีส่วนร่วม (Participating) (2) ทรัพยากรในการดำเนินงาน (Resource) และการบริหารจัดการทรัพยากร (Management) (3) นโยบายต้องมีการประเมินผล (Evaluating) และประเมินผล (Monitoring) เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติงาน และ (4) ผลลัพธ์ ประกอบด้วย ความสำเร็จของนโยบาย (Success) ความพึงพอใจในคุณภาพชีวิตของสมาชิก (Satisfaction) และความเสมอภาค (Equality)

Abstract: The objectives of this study were to 1) study the effectiveness of Thai Women Empowerment Fund policy implementation for women quality of life development in the area of the central province group 2) study the factors affecting the effectiveness of Thai Women Empowerment Fund policy implementation for women quality of life development in the area of the central province group and 3) suggest for improvement the factors affecting Thai Women Empowerment Fund policy implementation for women quality of life development in the area of the central province group. The approach of concurrent mixed methods research was applied by combining of qualitative and quantitative research. The qualitative research was conducted by the tools of 1) documentary research 2) in-depth interviewing of 27 key informants who were responsible in policy, implementation and area level into 2 groups; the government officials in the Community Development at provincial and district level, the committee and members of the funds which selected by purposive sampling. The data were analyzed by analytic induction and interpretation. The quantitative research was conducted a sample of 400 respondents of the government officials in the Community Development Department at provincial and district level, the committee and members of the funds. The sample size was derived by Taro Yamane’s formula. The tool for data collecting was a 5 level rating scale questionnaire at a reliability of 0.91 and the data were analyzed by statistics comprising percentage, mean, standard deviation and stepwise regression analysis. The research findings were as follows: 1) The effectiveness of Thai Women Empowerment Fund policy implementation in overall and all aspects was at the high level and in each aspect as ranked from a highest mean to the lowest mean were (1) the policy success especially the members easily accessed the funds, increasing the income and enhancing the economic strength. (2) The aspect of equality, justice and sustainable development and (3) the aspect of satisfaction on the quality of life of members, respectively. 2) The factors affecting the effectiveness of Thai Women Empowerment Funds policy implementation composed of (1) the factor of this policy in overall and all aspects was at the high level and ranked from the highest mean to the lowest mean were the aspect of policy clarification, the aspect of operation resources, the aspect of capable of policy implementation and the aspect of measurable and evaluable policy, respectively. (2) the factor of this policy implementation in overall and all aspects was at the high level and ranked from the highest mean to the lowest mean were the aspect of the leadership of members, the aspect of agencies of policy implementation, the aspect of operational monitoring and evaluating, the aspect of participation, the aspect of resources management, the aspect of leader characteristics and the aspect of coordinating and communicating, respectively. The variables of this policy comprising the aspect of measurable operation, the resources of operation could explain the variation of the overall effectiveness of policy 35.10 % (R2 = 0.351) at a statistical significance of 0.05. The factors of the Thai Women Empowerment Funds policy implementation comprising the aspect of resources management, the aspect of members participation, the aspect of operational monitoring and evaluating and the aspect of coordinating and communicating could explain the variation of the overall effectiveness of policy 52.00 percent (R2 = 0.520) at a statistical significance of 0.05. 3) The appropriate suggestion to improve the factors affecting Thai Women Empowerment Fund policy implementation composed of (1) the factor of policy should improve and develop the potential of committee in area level and monitored or audited the money in order to prevent the objective terrains as well as the provincial committee rigid inspected and installed the evaluation system (2) the factors of policy implementation comprising the aspect of agencies of policy implementation namely the Community Development should closely check the money withdrawal in order to correct the objectives, enhancing the knowledge and understanding of rules and regulations, creating the more potential leadership and extended the women roles towards the community leaders for sustainable development based on self reliance. The proposed synthesis model based on CP+RM+2E = 2SE comprising (1) the Coordinating and Participating, (2) Resource in operating and Management (3) Evaluating in policy and Monitoring in implementation level and (4) the outcomes comprising the Success, Satisfaction and Equality.

มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ

Address: ปทุมธานี

Email: arit@vru.ac.th

Name: บุญทัน ดอกไธสง.

Role: ประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์.

Created: 2560

Modified: 2560-09-27

Issued: 2560-09-27

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

CallNumber: วพ 333.36 น136ป 2558

tha

©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	8597073.pdf	3.8 MB	230	2025-08-02 11:40:04

ใช้เวลา

0.01634 วินาที