Abstract:
การวิจัยเรื่องทรรศนะของผู้ปกครองต่อการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของเทศบาลตำบลร่องคำ อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทรรศนะของผู้ปกครองต่อการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของเทศบาลตำบลร่องคำ อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามภูมิหลังของผู้ปกครอง คือ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ระดับชั้นของเด็กในปกครอง และความเกี่ยวข้องกับเด็ก กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ปกครองเด็กระดับปฐมวัยของเทศบาลตำบลร่องคำ อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธิ์ จำนวน 178 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามทรรศนะของผู้ปกครองต่อการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของเทศบาลตำบลร่องคำ อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธิ์ มีค่าความเชื่อมั่นตามวิธีของครอนบาค เท่ากับ .96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ t วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOWA) และวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ (Scheffe Method)
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภูมิหลังของผู้ปกครองที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 75.28 มีอายุมากกว่า 40 ปี ร้อยละ 41.58 มีการศึกษาระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 49.44 มีอาชีพ เกษตรกรรม/ประมง ร้อยละ 46.63 ระดับชั้นของเด็กในปกครองชั้นเด็กเล็ก 2 ร้อยละ 33.15 และความเกี่ยวข้องกับเด็กโดยเป็นมารดา ร้อยละ 50.00
2. ทรรศนะของผู้ปกครองต่อการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของเทศบาลตำบลร่องคำ อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก เมื่อพิจารณาเป้นรายด้านเรียงลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปน้อย อันดับแรกคือด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับครอบครัวของเด็ก รองลงมา คือ ด้านการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ด้านการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก ด้านการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ด้านหลักสูตร และด้านการบูรณาการการเรียนรู้ ตามลำดับ
3. การเปรียบเทียบทรรศนะของผู้ปกครองต่อการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของเทศบาลตำบลร่องคำ อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามภูมิหลังของผู้ปกครอง พบว่า ผู้ปกครองที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ระดับชั้นของเด็กในปกครองและความเกี่ยวข้องกับเด็กต่างกัน มีทรรศนะต่อการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของเทศบาลตำบลร่องคำ อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธิ์ ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน
The research aimed to study and to compare the Parents' Attitude on Educational Managements of Rongkham Municipality, Rongkham District. Kalasin Province. The parents in the study ware classified according to sex, age, educational level, occupation, children class and their relation to children. The samples were 178 parents of the early children in the municipality of Rongkham in Rongkham district. The instrument was a questionnaire whose reliability value based on the Crohbach method was 96. The Statistics used in data analysis were percentage, means, standard deviation, t-test, One-way ANOVA and the Scheffe's matched pair comparison.
The research found that:
1. The majority of the subjects were females, accounting for 75.28%; those aged over 40 represented 41.58%; 49.44%; of them completed the primary or lower education; 46.63% had farming/fishing occupation, and 50.00 of them were children'smothers.
2. Parents' Attitude on Educational Managements of Rongkham Municipality, Rongkham District. Kalasin Province was overall at high level. Arranged in a descending order were the relation between the teachers and children's families, evaluation of children's development and learning, environment favorable to learning, learning-promoting activities, curriculum and learning integration.
3. Regarding the comparison of the attitude of the Parents' Attitude on Educational Managements of Rongkham Municipality, Rongkham District, Kalasin Province Children's parents who were different in sex, age, educational degree, occupation, children class and relation to children did not have a different attitude towards the early children level educational management by the municipality of Rongkham in Rongkham district of kalasin province.