การศึกษาหาระดับปัจจัยที่เหมาะสมในการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จโดยใช้วิธีการออกแบบการทดลอง

A study of optimal factors in concrete mixing process using design of experiment

Name: ฆนนัช พระพุทธคุณ

keyword: การออกแบบทดลองเชิงตัวประกอบ

ThaSH: คอนกรีตผสมเสร็จ -- การผลิต

Abstract: อุตสาหกรรมการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเจริญเติบโตอย่าง ต่อเนื่อง ในการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จนั้นมีปัญหาที่สำคัญอยู่ประการหนึ่งคือ คอนกรีตที่ผลิต ออกมามีการรับกำลังอัดคอนกรีตไม่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ดังนั้นทางโรงงานส่วนใหญ่จึง แก้ปัญหาด้วยการเผื่อปูนซีเมนต์โดยเฉลี่ยประมาณ 80 กิโลกรัมต่อการผลิตคอนกรีต 1 ลูกบาศก์เมตร ลงในการผสมคอนกรีตแต่ละครั้ง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น งานวิจัยนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาระดับปัจจัยที่เหมาะสมในการผสมคอนกรีต และเป็นแนวทางในการ ลดส่วนเผื่อปูนซีเมนต์ โดยผู้วิจัยใช้วิธีการออกแบบการทดลองแบบ General Factorial Design ซึ่งประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลักได้แก่ ขนาดของหิน ขนาดของทราย อัตราส่วนผสมมวลรวม และ ระยะเวลาการบ่มคอนกรีต โดยทำการทดลองซ้ำทั้งหมด 6 ครั้ง และใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิง สถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95 เปอร์เซ็นต์ ผลการศึกษาพบว่าทุกปัจจัยมีผลต่อการรับกำลัง คอนกรีตอย่างมีนัยสำคัญ (p-value<0.05) และสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับคอนกรีตกำลังอัดที่ 240 ถึง 250 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ควรใช้หินขนาด 1 นิ้ว ทรายแบบหยาบ อัตรา ส่วนผสมมวลรวมเท่ากับ 0.42 และใช้เวลาในการบ่มคอนกรีต 7 วัน จากผลการทดลองดังกล่าว ทำให้โรงงานได้ทราบถึงปัจจัยที่เหมาะสมและสามารถนำไปขยายผลเพื่อลดส่วนเผื่อปูนซีเมนต์ ให้กับโรงงานต่อไปในอนาคต

Abstract: Concrete production industries have consistently grown up over years. However, the problem frequently found in those industries is that the pressing power of concrete has not reached to the standard required. Thus, the selected factory has solved this problem by reserving cements in the concrete mixing process around 80 kg/ m3 in each batch which directly impacts on increasing production costs. The purpose of this study is to investigate an optimal factor condition for reducing the reserve cements in the concrete mixing process. A general full factorial experiment consists of four main factors, that is, sizes of rock, sizes of sand, total mass ratios, and ripeness time. By which, the experiment was repeated six times and used statistical analysis at the 95% confidence level. The results indicated that all factors had significantly influenced on the concrete power and the optimal condition for concrete power at 240 or 250 kg/cm2 was 1 inch for rock size, coarse for sand size, and 0.42 for total mass ratio. Also, the appropriate ripeness time was 7 days. According to the results, the company could use this optimal condition for decreasing the reserved cements in the future.

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. สำนักหอสมุดกลาง

Address: กรุงเทพมหานคร

Email: library@kmutnb.ac.th

Name: ธีรเดช วุฒิพรพันธ์

Role: ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์

Created: 2552

Modified: 2567-08-28

Issued: 2553-08-05

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

CallNumber: E-THESIS

tha

DegreeName: วิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: วิศวกรรมอุตสาหการ

Grantor: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

©copyrights มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	B15183907.pdf	4.55 MB	2	2025-10-23 00:46:15

ใช้เวลา

0.029333 วินาที