ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจในการบริจาคโลหิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส

Factors Influencing Intention to Blood Donation among People of Narathiwat Province

Name: อนงค์ศรี สิมศิริ

Organization : มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา.คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร.สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์

keyword: การบริจาคโลหิต

ThaSH: การบริจาคโลหิต -- ประชาชน -- นราธิวาส

Classification :.DDC: 152.1

Abstract: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical research) แบบภาคตัดขวาง (cross sectional study) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจในการบริจาคโลหิตของประชาชนในจังหวัดนราธิวาส กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรอายุตั้งแต่ 17 ปี ถึง 60 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง และเขตชนบทของพื้นที่ที่มีประชากรนับถือศาสนาพุทธและอิสลามในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน แบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตเมือง จำนวน 100 คน และเขตชนบท จำนวน 100 คน การวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยเชิงพหุหลายขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ลักษณะเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยประยุกต์ใช้ทฤษฏีพฤติกรรมที่มีการวางแผน ร่วมกับงานวิจัยนำร่องของ Jalalian et al. (2010) ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ จำนวน 200 คน เป็นเพศหญิงส่วนใหญ่ อายุเฉลี่ย 34.24±9.44 ปี นับถือศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธในสัดส่วนเท่ากัน ระดับการศึกษาส่วนใหญ่ คือระดับปริญญาตรี มีอาชีพเป็นพนักงานของรัฐ/ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจเป็นส่วนใหญ่ มีน้ำหนักเฉลี่ย 57.68±12.78 กิโลกรัม รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 11,185.86±8,326.04 บาท อาศัยอยู่ในเขตชนบทและเขตเมืองสัดส่วนที่เท่ากัน ส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัว ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มสุรา ไม่เคยบริจาคโลหิตถึงร้อยละ 63.0 ส่วนที่เคยบริจาคโลหิต บริจาคเฉลี่ย 1.22±2.58 ครั้ง จากการประเมินความรู้เกี่ยวกับการบริจาคโลหิตของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 60 มีความรู้เกี่ยวกับการบริจาคโลหิตที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต ขั้นตอนการบริจาคโลหิต และผลประโยชน์ที่ได้รับจากการบริจาคโลหิต มีระดับทัศนคติต่อการบริจาคโลหิตอยู่ในระดับดีมากและดี ถึงร้อยละ 93 มีการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงในการบริจาคโลหิตอยู่ในระดับปานกลางถึงร้อยละ 80.0 การรับรู้การควบคุมพฤติกรรมการบริจาคโลหิตอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 64.5 และมีระดับความตั้งใจในการบริจาคโลหิตอยู่ในระดับน้อย/น้อยที่สุด (ร้อยละ 37) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความตั้งใจในการบริจาคโลหิตของประชาชนในจังหวัดนราธิวาสอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล คือ น้ำหนัก นักเรียนหรือนักศึกษา การสูบบุหรี่ในปัจจุบัน ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.13, -0.18 และ -0.12 ตามลำดับ พฤติกรรมการบริจาคโลหิตในอดีต คือ การบริจาคโลหิต และจำนวนการบริจาคโลหิตซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.34 และ 0.31 ตามลำดับ ความรู้เกี่ยวกับการบริจาคโลหิต ทัศนคติเกี่ยวกับการบริจาคโลหิต การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง และการรับรู้การควบคุมพฤติกรรมในการบริจาคโลหิต ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.23, 0.28, 0.25 และ 0.22 ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์โดยใช้สถิติถดถอยเชิงพหุ (Multiple regression analysis) ระหว่างความตั้งใจในการบริจาคโลหิตของประชาชนในจังหวัดนราธิวาส กับปัจจัยต่าง ๆ พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับคะแนนความตั้งใจในการบริจาคโลหิตโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การบริจาคโลหิต (β = 0.22) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (β = 0.13) จำนวนการบริจาคโลหิต(β = 0.17) และทัศนคติเกี่ยวกับการบริจาคโลหิต (β = 0.17) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับคะแนนความตั้งใจในการบริจาคโลหิตโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ นักเรียนและนักศึกษา (β = -0.20) และอายุ (β = -0.18) ซึ่งปัจจัยทั้ง 6 สามารถร่วมกันอธิบายความตั้งใจการบริจาคโลหิตของประชาชนในจังหวัดนราธิวาสได้ร้อยละ 23.00 (R2adj = 0.23) ดังนั้นการสนับสนุนให้มีการบริจาคโลหิตมากขึ้น ควรจัดกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้ที่ถูกต้องและ สร้างทัศนคติที่ดีในการบริจาคโลหิต สำหรับกลุ่มเด็กนักเรียน/นักศึกษา ครู อาจารย์ และผู้ปกครองจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้วัยรุ่นบริจาคโลหิตเพิ่มขึ้น และเป็นกลุ่มที่ควรส่งเสริมให้บริจาคโลหิตมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่มีอายุน้อย และยังสามารถบริจาคโลหิตได้อีกหลายปี เพราะผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้น จะมีความตั้งใจในการบริจาคโลหิตลดลง เนื่องจากภาวะโรคประจำตัว เพียงอีกไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จะยิ่งทำให้การบริจาคโลหิตและปริมาณเลือดสำรองลดลง จะต้องมีมาตรการให้วัยรุ่นบริจาคโลหิตมากขึ้น This analytical cross sectional studies aimed to study and analyzed factors influencing intention to blood donation among people of Narathiwat province. Samples were drawn from population, aged 17 – 60 years, who were eligible to donate blood. The sample was divided equally between urban (100 persons) and rural (100 persons) areas where equally between Muslim and Buddhist. Descriptive statistics and stepwise multiple regression analysis were used in this study. A self-report questionnaire was developed from the researcher based on the theoretical foundation of the Theory of Planned Behavior (TPB) model and pilot study of Jalalian et al. (2010). A total of 200 questionnaires were completed, and all of them were returned. Descriptive analysis results of the sample demographics described the typical respondent as female, average age 34.24±9.44 years, equal amount of Muslim and Buddhist, bachelor’s degree, employees of the state/government officers/state enterprise, average body weight 57.68±12.78 kgs, average salary per month 11,185±8,326.04 Bahts, no history of illness, no smoking, no drinking, never participated in blood donation (63.0%), and average blood donation 1.22±2.58. For evaluating knowledge about blood donation, most respondents (60%) had incorrect knowledge relating blood donation facts (physical characteristics, safe process, benefits of blood donation). Most respondents had good attitude to blood donation (93%), moderate subjective norm (80.0%), moderate perceived behavioral control (64.5%) and low intention to blood donation (37%). In order to examine correlation between intention to donate blood and the relative contribution of each factor, a significant correlation was found between personnel factors including body weight, student, and smoking (r = 0.13, -0.18 and -0.12, respectively). A significant correlation was also found between blood intention to donate blood and experience of blood donation in the past including ever donating blood and number of blood donation (r = 0.34 and 0.31 respectively) as well as a significant correlation was found between knowledge relating blood donation, attitude toward blood donation, subjective norm, and perceived behavioral control (r = 0.23, 0.28, 0.25 and 0.22 respectively) In order to examine which factors predict intention to donate blood and the relative contribution of each factor, enter multiple regression analysis was undertaken. Factors positively related to intention to blood donation among people in Narathiwat province were ever donating blood (β = 0.22), subjective norm (β = 0.13), number of blood donation (β = 0.17) and attitude toward blood donation (β = 0.17). Factors negatively related to intention to blood donation were student (β = -0.20) and age (β = -0.18). All six variables could explain 23.00% of the variance of intention to blood donation among people in Narathiwat province (R2Adjusted = 0.23). Thus, the constructing program to promote blood donation in Narathiwat should provide correct knowledge and good attitude to about blood donation. Teachers, instructors and parents are the keys subjective norm supporting teenagers to be the donor. Teenagers are the important group for blood donation in the future because they can donate blood for several years. The results of this study revealed that an increase in age would decrease intention in donating blood because of physical illness. In the near future, Thailand’s population will meet aging society. Blood donation and preserve blood would decrease so it should launch strategies or programs encouraging teenagers to be donor.

Academic Resource and Information Technology Center

Address: YALA

Email: libraryinfo@yru.ac.th

Name: กรรณิกา เรืองเดช

Role: อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก

Created: 2555

Modified: 2557-07-31

Created: 2557

Issued: 2557-07-31

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

CallNumber: Thesis\152.1 อ15ป

tha

Spatial: ไทย (ภาคใต้)

DegreeName: วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: สาธารณสุขศาสตร์

Grantor: มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	Abstract.pdf	192.23 KB	64	2024-10-08 10:31:43
2	Appendix.pdf	2.01 MB	66	2024-04-02 16:20:06
3	Chapter1.pdf	157.65 KB	83	2024-10-16 19:39:34
4	Chapter2.pdf	729.33 KB	87	2024-04-02 16:20:15
5	Chapter4.pdf	357.5 KB	71	2024-10-16 19:46:10
6	Chapter3.pdf	253.21 KB	67	2024-10-09 16:37:17
7	Chapter5.pdf	262.83 KB	62	2024-04-02 16:20:31
8	Contents.pdf	105.92 KB	48	2024-10-09 16:37:03
9	Cover.pdf	138.91 KB	42	2024-10-09 16:35:26
10	Reference.pdf	154.36 KB	45	2024-04-02 16:20:48
11		0 Byte	1	2018-06-03 16:59:12

ใช้เวลา

0.059211 วินาที