แจ้งเอกสารไม่ครบถ้วน, ไม่ตรงกับชื่อเรื่อง หรือมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับเอกสาร ติดต่อที่นี่ ==>
หากไม่มีอีเมลผู้รับให้กรอก thailis-noc@uni.net.th ติดต่อเจ้าหน้าที่เจ้าของเอกสาร กรณีเอกสารไม่ครบหรือไม่ตรง

การวิเคราะห์การใช้เหตุผลในพระไตรปิฎก

keyword: การวิเคราะห์การใช้เหตุผลในพระไตรปิฎก
Abstract: บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์การใช้เหตุผลในพระไตรปิฎกมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นมาของการใช้เหตุผลในพระไตรปิฎกเพื่อศึกษาวิเคราะห์การใช้เหตุผลในพระไตรปิฎกและเพื่อศึกษาวิเคราะห์ผลที่เกิดจากการใช้เหตุผล ผลการวิจัยพบว่า ในคัมภีร์พระพุทธศาสนามีคำสอนเกี่ยวกับการใช้เหตุผลกระจายอยู่หลายลักษณะ เช่น การใช้เหตุผลในการค้นหาความจริง การใช้เหตุผลตอบปัญหาเรื่องกรรมเป็นอนัตตา และมโนกรรมมีโทษมากกว่ากายกรรมและวจีกรรม การใช้เหตุผลในการถามตอบปัญหาเกี่ยวกับขันธ์ ๕ ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ การใช้เหตุผลในกระบวนการปฏิจจสมุปบาทตอบปัญหาเรื่องวิญญาณแก่สาติภิกษุ การแสดงธรรมตามแนวอริยสัจ ๔ ที่มีลักษณะบอกเหตุและผล คือทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ นิโรธเป็นผล มรรคเป็นเหตุ และในคัมภีร์กถาวัตถุ มีการตอบปัญหาเรื่องบุคคล ขันธ์ ๕ เป็นต้น ทั้งในแง่สมมติบัญญัติและปรมัตถ์บัญญัติ คัมภีร์นี้นักวิชาการทางพระพุทธศาสนายอมรับกันว่าเป็นคัมภีร์ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้เหตุผลอีกแบบหนึ่ง การใช้เหตุผลมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ๑)การใช้เหตุผลแบบจำแนกนามรูปจากจุดเล็กขยายไปสู่จุดใหญ่ เช่น การจำแนกองค์ประกอบของชีวิตออกเป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นต้น ว่าตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ วิธีการนี้อาจเรียกสั้น ๆ ว่าการใช้เหตุผลแบบวิภัชชวาท วิธีนี้จะมีปฏิจจสมุปบาทเป็นฐานรองรับ ๒)การใช้เหตุผลในเชิงเปรียบเทียบ คือการอ้างเหตุผลโดยการใช้สื่อประกอบเพื่อเพิ่มความเข้าใจหลักนามธรรม จึงยกอุปมาอุปไมยมาแสดงให้เข้าใจ เช่น การเปรียบเทียบขันธ์ ๕ ว่ารูปเปรียบเหมือนกลุ่มฟองน้ำ เวทนาเปรียบเหมือนฟองน้ำ สัญญาเปรียบเหมือนพยับแดด สังขารเปรียบเหมือนต้นกล้วย และวิญญาณเปรียบเหมือนมายากล ๓)การใช้เหตุผลแบบอนุมานตนเองกับผู้อื่น เป็นการใช้ตรรกสำหรับตรวจสอบคุณธรรมของตนและผู้อื่น เช่น การอนุมานว่า บุคคลที่มีความปรารถนาที่เป็นบาป ตกอยู่ในความปรารถนาที่เป็นบาป ย่อมไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของเรา ถ้าเราจะพึงเป็นบุคคลเช่นนั้น เราก็คงไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของคนเหล่าอื่นเช่นเดียวกัน เป็นต้น ๔)การใช้เหตุผลแบบสมมติภาพเหตุการณ์ เป็นการใช้เหตุผลอธิบายธรรมโดยยกตัวอย่างหรือนิทาน เรื่องเล่าในอดีตมาประกอบให้เข้าใจคำสอนเช่น ในอุปาลิวาทสูตร ๕)การใช้เหตุผลแบบขยายธรรมวิจิตร หรือเทศนาวิจิตร เป็นวิธีการอธิบายเรื่องจิต เจตสิก ให้พิสดาร หรือการเล่าประวัติศาสตร์อันยืดยาว วิธีนี้จะใช้กับกลุ่มบุคคลผู้มากด้วยทิฏฐิมานะว่าตนมีปัญญามาก ไม่ยอมรับฟังทัศนคติหรือความคิดเห็นของใครง่าย เช่น พระพุทธเจ้าทรงกำราบความถือตัวของอัมพัฏฐมาณพ ซึ่งถือตัวว่าเป็นคนมีความรู้มาก ในที่สุดเมื่อได้ฟังประวัติเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนจากพระพุทธองค์ เขาก็ยอมรับเพราะตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ชาติกำเนิดของตนทั้งหมด๖)การใช้เหตุผลแบบกลับความหมายของคำ เป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้านำคำที่คนในพื้นที่หรือชุมชนใช้พูดหรือเรียกกันซึ่งมีความหมายที่คนในพื้นที่หรือชุมชนนั้นเข้าใจหรือมีความเชื่อตรงกันเช่น คำว่า อรหันต์ พราหมณ์ ภิกษุ อริยะ สภามาใช้อธิบายให้ความหมายใหม่ที่ให้แง่คิดปรับทัศนะที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิแก่คนในพื้นที่หรือชุมชนนั้น ๆ ไม่ต้องมีความเชื่อผิด ๆ อีกต่อไป ๗)การใช้เหตุผลแบบกระบวนการ เป็นวิธีการตอบปัญหาแบบตรรกนัย ประกอบด้วยหลักการ ๕ อย่าง คือ (๑) อนุโลมปัญจกะ การถามตามลำดับ (๒) ปฏิกัมมจตุกกะ การโต้กลับของฝ่ายที่ถูกถาม (๓) นิคคหจตุกกะ การกล่าวข่มโดยฝ่ายถูกถาม (๔) อุปนยนจตุกกะ การรับรองวิธีการนิคคหะที่ตนทำคือวิธีการที่ ๓ ว่าถูกต้อง และวิธีการของฝ่ายถามคืออนุโลมปัญจกะนั้นผิด (๕) นิคคมจตุกกะ การสรุปการโต้ตอบว่า ฝ่ายถามทำนิคคหะไม่ถูกต้อง ส่วนฝ่ายตนทำถูกต้องทุกกระบวนการ คือทำปฏิกัมมะ นิคคหะ อุปนยนะ และนิคคมะ เมื่อฝ่ายถูกถามทำการโต้กลับทุกประเด็นแล้ว ก็เป็นฝ่ายถามก่อนบ้าง ขั้นแรกเรียกว่า (๑) ปัจจนีกานุโลมะ และขั้นที่ ๒-๕ ก็มีชื่อเรียกอย่างเดียวกัน โดยฝ่ายถูกถามโต้กลับและสรุปว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้อง การถามและโต้ตอบกันในคัมภีร์กถาวัตถุทั้งหมดก็จะดำเนินการด้วยหลัก ๕ อย่างนี้ ผลที่เกิดจากการใช้เหตุผลคือ ผลที่เกิดสามารถแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ ๑) ผลที่เกิดขึ้นแก่เหล่าสาวก ๒) ผลที่เกิดขึ้นแก่เหล่าเดียรถีย์หรือนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา ผลที่เกิดขึ้นแก่เหล่าสาวกคือ ทำให้พระสาวกเกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในพระธรรม ไม่เคลือบแคลงสงสัยในพระรัตนตรัยและปัญหานั้น ๆ เกิดศาสนทายาท และทำให้พระสัทธรรมเจริญตั้งมั่น คงทนต่อการพิสูจน์เสมอ สำหรับผลที่เกิดแก่เหล่าเดียรถีย์คือ เดียรถีย์ทั้งหลายเข้าใจหลักพระพุทธศาสนา ไม่กล่าวร้ายพระรัตนตรัย ที่สำคัญสาวกของเจ้าลัทธิบางพวกประกาศตนเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต
Abstract: Abstract The objectives of this dissertation are (1) to study theUsage of Logicin general science and in the Buddhism (2) to analytical study the Usage of Logic in the Tipitaka (3) to study the The Usage of Logic can result intheTipitaka. This study has found that the Usage of Logic doctrines deliberating by Buddha and his followers are significantly intermingled in the Tipitaka. As shown in the VinayaPiṭaka, or Discipline Basket, the usage of logic is witnessed in the disciplinary canon for sustainability the religious over a prolonged period of times. Its usages can be considered for keeping all parties usefulness; explaining logical metaphor, passing on the disciplinary canon through logic language and asking permission for becoming a bhikkhuni. In SuttaTipitaka, or Sermons Basket, the Usage of Logic can be seen in various ways which are using as a tool for truth findings; discussing Karma dogma as Anutta(non-self); explaining five aggregates as parts of the three signs of being; answering the logically consciousness through the Dependent Origination toward Sati-bhikku; the Four Noble Truths sermon so causes, including suffering and the cessation of suffering, and effects, including the cause of suffering and the path leading to the cessation, can be described in Katha-Vatthu doctrines (Subjects for talk among the monks). In AbhidhammaPitaka, the Usage of Logic is detailed in the affirmative process of traditional Buddhist doctrines; for instance, five aggregates in the aspect of ultimate truth and conventional truth. The Abhidhamma doctrine itself is well-known accepted as the most systematic logical usage by Buddhist scholars. The Usage of Logic has seven characteristics. These include (1) a classification of Mind and Matter from small to large and reverse from large to small so as it can be related to life classification into five aggregates in order to understand the Three Signs of Being by having Paticcasamuppada as supported base (2) a comparative logic by using media or metaphor for better understanding of abstract meaning (3) a self-assuming to others for self-moral/others-moral evaluation (4) a story telling for better understanding of dharma as appeared in Upalivadasuttra (5) an exquisite dharma or sermon for explaining mind and mental concomitants this will be suitable to person who considered oneself with more knowledge than others (6) a word transition from negative to positive meaning for supporting good attitude; for example, a “person with no taste” is related to “Buddha who can refrain of senses based” (7) a process logic answer of (7.1) Anulomapanjaka – consecutively questioning (7.2) Patikammajatuka – counterattack by respondent (7.3) Niggahajatuka – disgrace from the respondent(7.4)Upanayajatuka – certifying that Niggahajatuka is correct but Anulomapanjaka is incorrect (7.5)Niggamajatuk – concluding that Niggahajatuka is incorrect but Niggamajatuk is all correct including Patikamma, Niggaha, Upanaya and Niggama. When the respondent has already responded back in every issues, he/she will start to question step by step so called Panjanikalaloma. The question and answer will be proceeded to gain knowledge of (1) The ultimate truth (2) Practical guideline (3) Buddhist doctrines understanding (4) Conceit refrain (5) Mutual Understanding among religious The Usage of Logic can result in (1) the four assemblies of the Buddhist devoutand (2) an adherent of another religion; heretical teacher. The four assemblies can be referred to Bhikku, Bhikkuni, male & female devotee who pursuit for Buddhist wisdom in order to understand the ultimate truth and will not skepticism on Buddhist Doctrines or uncertainty of the triple gems. The dhamma learning can be testified as needed under the fully supported by these laypeople. And also the Usage of Logic can build up good attitude toward an adherent of another religious by having more understanding of the Buddhist doctrines as it showed during the time of the Buddha that some adherent of another religious had proclaimed oneself as Buddhist layman whom holding firmly respect to the triple gems for the rest of life.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. สำนักหอสมุดและเทคโนโลยีสารสนเทศ
Address: กรุงเทพมหานคร
Email: library@mcu.ac.th
Role: อาจารย์ที่ปรึกษา
Issued: 2557-01-20
บทความ/Article
application/pdf
tha
©copyrights มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
RightsAccess:
ใช้เวลา
0.012584 วินาที

ดร.ประพันธ์ ศุภษร
Title Contributor Type
การวิเคราะห์การใช้เหตุผลในพระไตรปิฎก
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ดร.ประพันธ์ ศุภษร

บทความ/Article
วิเคราะห์การให้ทานของพระเวสสันดร ในมิลินทปัญหา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ดร.ประพันธ์ ศุภษร

บทความ/Article
Copyright 2000 - 2025 ThaiLIS Digital Collection Working Group. All rights reserved.
ThaiLIS is Thailand Library Integrated System
สนับสนุนโดย สำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
328 ถ.ศรีอยุธยา แขวง ทุ่งพญาไท เขต ราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทร. โทร. 02-232-4000
กำลัง ออน์ไลน์
ภายในเครือข่าย ThaiLIS จำนวน 12
ภายนอกเครือข่าย ThaiLIS จำนวน 3,324
รวม 3,336 คน

More info..
นอก ThaiLIS = 107,374 ครั้ง
มหาวิทยาลัยสังกัดทบวงเดิม = 51 ครั้ง
มหาวิทยาลัยราชภัฏ = 12 ครั้ง
มหาวิทยาลัยเอกชน = 5 ครั้ง
หน่วยงานอื่น = 4 ครั้ง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล = 3 ครั้ง
สถาบันพระบรมราชชนก = 1 ครั้ง
รวม 107,450 ครั้ง
Database server :
Version 2.5 Last update 1-06-2018
Power By SUSE PHP MySQL IndexData Mambo Bootstrap
มีปัญหาในการใช้งานติดต่อผ่านระบบ UniNetHelp


Server : 8.199.134
Client : Not ThaiLIS Member
From IP : 216.73.216.46