แจ้งเอกสารไม่ครบถ้วน, ไม่ตรงกับชื่อเรื่อง หรือมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับเอกสาร ติดต่อที่นี่ ==>
หากไม่มีอีเมลผู้รับให้กรอก thailis-noc@uni.net.th ติดต่อเจ้าหน้าที่เจ้าของเอกสาร กรณีเอกสารไม่ครบหรือไม่ตรง

ธัมมสันตติ : วิธีการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาของพระนาคเสน

keyword: ธัมมสันตติ : วิธีการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาของพระนาคเสน
Abstract: บทความนี้ผู้เขียนได้ปรับปรุงจากวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต เรื่อง การศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการแห่งการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาในพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งได้เสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อปีการศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐ วิธีการตอบปัญหาของพระนาคเสนนี้เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนได้รวบรวมและวิเคราะห์ไว้ และเป็นวิธีการที่มีหลักการตอบที่น่าศึกษาเพราะเต็มไปด้วยอรรถรสทางภาษาและปฏิภาณของผู้ตอบ ทำให้เข้าใจประเด็นปัญหาและวิธีการตอบอย่างชัดเจน ดังนั้น จึงได้ปรับปรุงและสรุปวิเคราะห์วิธีการตอบปัญหาของพระนาคเสนมาลงตีพิมพ์ในวารสารบัณฑิตปริทัศน์ฉบับนี้ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา แนวคิดเรื่อง “กรรมกับอัตตา(อาตมัน)” เป็นที่ยอมรับของสำนักปรัชญาอินเดียโบราณเกือบทุกสำนักและสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะสำนักปรัชญาที่เชื่อถือคัมภีร์พระเวท เพราะแนวคิดนี้สามารถตอบปัญหาและแก้ข้อสงสัยต่างๆ ของมนุษย์ได้อย่างกลมกลืนและลงตัว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องชีวิตหลังความตาย การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ การทำกรรมและการรับผลของกรรม ตลอดทั้งอุดมคติของชีวิตคือการบรรลุโมกษะและการเข้าถึงปรมาตมัน เป็นต้น สำนักปรัชญาอินเดียโบราณทั้งหลายที่เชื่อถือคัมภีร์พระเวท หรือแม้กระทั่งศาสนาเชน (ที่ไม่เชื่อถือคัมภีร์พระเวท) ต่างก็มีความเห็นร่วมกันอย่างหนึ่งว่าชีวิตร่างกายของมนุษย์และสรรพสัตว์เป็นของไม่เที่ยงแท้ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และในที่สุดต่างก็จะละโลกนี้ไป ทว่าในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้จะต้องมีสภาพบางอย่างที่เที่ยงแท้ถาวรซ่อนอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นั้น สภาพบางอย่างที่ว่านี้นักคิดแต่ละสำนักต่างเรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น “อัตตา” “อาตมัน ปรมาตมัน” “ชีวาตมัน” “สัตว์” “บุคคล” หรือ “ชีวะ” [๑] เป็นต้น ชื่อเรียกเหล่านี้เป็นการบ่งบอกถึงสภาพที่เป็นแก่นแท้ของชีวิตที่อยู่เบื้องหลังการทำกรรมดีและกรรมชั่วของมนุษย์ เป็นผู้ที่คอยรับผลของกรรมทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เป็นผู้ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏและเข้าไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมันในที่สุด นักคิดเหล่านี้มองว่าสำนักปรัชญาใดก็ตามที่เสนอแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องกรรม การเวียนว่ายตายเกิดและอุดมคติของชีวิตโดยปราศจากการยอมรับความจริงทางอภิปรัชญาว่ามีอัตตาถาวรเป็นฐานรองรับ ต้องถือว่าแนวคิดนั้นหรือระบบปรัชญานั้นเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย พระพุทธศาสนามีแนวคิดและคำสอนบางอย่างร่วมกับสำนักปรัชญาอินเดียโบราณ เช่น แนวคิดเรื่องกรรม การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏและความหลุดพ้น เป็นต้น แต่แนวคิดที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนที่ทำให้พุทธปรัชญาแตกต่างจากปรัชญาอินเดียโบราณ คือพุทธปรัชญาไม่เชื่อว่ามีอัตตา หรือตัวตนอันเป็นแก่นแท้ที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อัตตาเป็นเพียงสมมติบัญญัติที่มนุษย์ใช้เรียกเพื่อสื่อสารกันเท่านั้น นี้คือแนวคิดใหม่และทวนกระแสที่พุทธปรัชญาเสนอต่อสังคมสมัยนั้น เมื่อพุทธปรัชญายอมรับเรื่องกรรม แต่ไม่ยอมรับว่ามีอัตตา หรือสอนเรื่องกรรมและสอนเรื่องอนัตตา แนวคิดนี้จึงขัดแย้งกับสามัญสำนึกของคนทั่วไป ทันทีที่พุทธปรัชญาเสนอแนวคิดนี้ขึ้นมา ทั้งคำถาม ข้อสงสัยและข้อโต้แย้งได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเลยทีเดียว เช่น ปัญหาว่ากรรมกับอนัตตาขัดกันเองหรือไม่ ถ้าไม่ยอมรับว่ามีอัตตาจะตอบปัญหาเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร ถ้าไม่มีอัตตาเสียแล้วใครเป็นผู้ทำกรรมและรับผลของกรรม กรรมที่อนัตตากระทำจะตกอยู่กับใคร เป็นต้น สำหรับคำสอนที่พระพุทธศาสนานำมาใช้อธิบายเรื่อง “อนัตตา” มาทุกยุคทุกสมัยนั้นได้แก่ขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นการอธิบายให้เห็นถึงองค์ประกอบของชีวิตที่เกิดจากการรวมตัวขององค์ประกอบย่อยๆ ๕ ส่วน อันได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ แต่ละส่วนของขันธ์ ๕ ต่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น มีการเกิดดับอย่างต่อเนื่อง(อิทัปปัจจยตา) ตกอยู่ในสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา(ไตรลักษณ์)[๒] ดังนั้นหลักอนัตตาของพระพุทธศาสนาจึงตั้งอยู่บนฐานของการอธิบายโลกและชีวิตแบบอิทัปปัจจยตา หรือเรียกอีกอย่างว่าแนวคิดแบบทางสายกลาง(มัชเฌนธรรม) ที่ไม่เอียงไปสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งระหว่างสัสสตทิฏฐิกับอุจเฉททิฏฐิ นี้คือจุดยืนที่พระพุทธศาสนาเกือบทุกนิกายพยายามรักษามาตลอดประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา แม้ว่าจะมีความขัดแย้งทางความคิดระหว่างนิกายในช่วงหลังพุทธกาลจนทำให้พระพุทธศาสนาแตกแยกออกเป็นนิกายย่อยๆ อีกมากมายก็ตาม แต่โดยส่วนใหญ่นิกายเหล่านั้นมักจะเกิดจากการไม่เห็นด้วยกับวิธีการอธิบายเรื่องทางสายกลางของอีกฝ่ายหนึ่งว่าเอนเอียงไปข้างสัสสตวาทหรือไม่ก็อุจเฉทวาท และอ้างว่าฝ่ายตนอธิบายถูกต้องตามพุทธประสงค์เดิม เช่น การโต้แย้งระหว่างนิกายมาธยมิกะกับนิกายโยคาจาร เป็นต้น[๓] กระนั้นก็ตาม แม้จะมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น แต่ทุกนิกายต่างก็ยืนยันว่าฝ่ายตนได้อธิบายเรื่องทางสายกลางเพื่อตอบคำถามเรื่องอนัตตาหรือศูนยตาบนฐานแห่งหลักอิทัปปัจจยตา(ปฏิจจสมุปบาท) ตามแนวพุทธมติที่ทรงวางไว้ทุกประการ อย่างไรก็ตาม เมื่อมองเข้ามาในเนื้อหาของคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เริ่มตั้งแต่พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาและอนุฎีกา ตลอดถึงปกรณ์วิเสสทั้งหลาย จะเห็นได้ชัดเจนว่าแนวคิดเรื่องกรรมกับอนัตตายังคงเป็นปัญหาเด่นที่ได้รับความสนใจมาทุกยุคทุกสมัย ทั้งจากชาวพุทธเองและคนในลัทธิศาสนาอื่นๆ แม้ว่าพระพุทธเจ้าและพระพุทธสาวกในสมัยพุทธกาลและในยุคต่อมาจะพยายามแก้ปัญหานี้และได้ตอบข้อสงสัยของผู้ซักถามมาโดยลำดับแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าคำถามหรือข้อโต้แย้งของฝ่ายตรงข้ามยังคงมีปรากฏให้เห็นเสมอมา ยิ่งคำถามและข้อโต้แย้งมีความซับซ้อนลุ่มลึกเท่าใด ก็จะมีการคิดค้นหาวิธีการตอบให้รัดกุมยิ่งขึ้นเท่านั้น ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ภิกษุรูปหนึ่งเกิดความสงสัยขึ้นว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า รูปเป็นอนัตตา ...วิญญาณเป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้น กรรมที่ถูกอนัตตากระทำจักถูกต้องอัตตาได้อย่างไร”[๔] หรือปัญหาของสัจจกะ นิครนถบุตร ที่ถามว่า ท่านพระโคดม พืชพันธุ์ไม้เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ พืชพันธุ์ไม้เหล่านั้นทั้งหมดต้องอาศัยแผ่นดิน อยู่ในแผ่นดิน จึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้ หรือการงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลต้องทำด้วยกำลัง การงานเหล่านั้นแม้ทั้งหมดต้องอาศัยแผ่นดิน ต้องอยู่บนแผ่นดินจึงทำได้ แม้ฉันใด บุรุษบุคคลนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีรูปเป็นอัตตา… มีวิญญาณเป็นอัตตา ต้องดำรงอยู่ในรูป…ในวิญญาณ จึงจะประสบบุญหรือบาปได้[๕] พระพุทธองค์ทรงตอบปัญหานี้และอธิบายอย่างละเอียดด้วยการนำขันธ์ ๕ มาเป็นตัวตั้งแล้วจำแนกองค์ประกอบให้เห็นส่วนย่อยของขันธ์แต่ละอย่างที่มีความสัมพันธ์กันเป็นกระแสตามหลักอิทัปปัจจยตา[๖] เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่จะเรียกได้ว่าเป็นอัตตา นอกจากนี้เหล่าพุทธสาวกและพุทธสาวิกาในสมัยพุทธกาลหลายรูปต่างก็พยายามตอบปัญหานี้เช่นกัน ดังเช่น พระสารีบุตรเถระกล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อากาศอาศัยไม้ เถาวัลย์ หญ้าและดินเหนียวมาประกอบเข้ากันจึงนับว่า “เรือน” แม้ฉันใด อากาศอาศัยกระดูก เอ็นด้วย เนื้อและหนังมาประกอบเข้าด้วยกันจึงนับว่า “รูป” ฉันนั้น”[๗] และพระวชิราภิกษุณีได้กล่าวกับมารว่า “มารเอ๋ย ทิฏฐิของเจ้าเชื่อว่าอะไรเป็นสัตว์ กองแห่งธรรมล้วนๆ นี้ บัณฑิตจะเรียกว่าสัตว์ไม่ได้เลย เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ก็มีได้ เหมือนคำว่ารถมีได้เพราะประกอบส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน”[๘] ในคัมภีร์พระอภิธรรมปิฎก ซึ่งนักปราชญ์ทั้งหลายสันนิษฐานกันว่าได้มีการแต่งเพิ่มเติมมาโดยลำดับในยุคหลังพุทธกาล(ประมาณช่วงสังคายนาครั้งที่ ๒-๓)โดยการนำเอาคำสอนแนวอภิธรรมที่มีอยู่ในพระสุตตันตปิฎกมาขยายเพิ่มเติม[๙] อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคัมภีร์นี้จะเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือเนื้อหาของคัมภีร์นี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาที่ได้พัฒนาถึงระดับที่สุขุมลุ่มลึกอย่างน่าอัศจรรย์ กล่าวคือการนำเอาพุทธธรรมในเชิงวิชาการล้วนๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์และสถานที่เหมือนในพระสูตรมาอธิบาย กล่าวคือเป็นการนำเอาเรื่องขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ เป็นต้น มาวิเคราะห์จำแนกแจกแจงให้เห็นกระบวนการทำงานที่สัมพันธ์กันและกระแสของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของจิต เจตสิก รูป อย่างละเอียดลึกซึ้ง ในช่วงสังคายนาครั้งที่ ๓ นี้ เราจะเห็นความพยายามในการตอบปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกรรมกับอนัตตาในรูปแบบแตกต่างหลากหลาย น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการแตกแยกทางความคิดอันเป็นที่มาของการเกิดนิกายต่างๆ ในวงการคณะสงฆ์สมัยหลังพุทธกาล ดังจะเห็นได้ในคัมภีร์กถาวัตถุ ซึ่งท่านพระโมคคลีบุตรติสสเถระได้ให้ความสำคัญแก่ปัญหาอัตตาและอนัตตามากจนถึงกับต้องจัดหัวข้อเรื่อง “ปุคคลกถา” ไว้เป็นอันดับหนึ่ง ในกถานี้ได้กล่าวถึงคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่งคือปุคคลวาท(สมิติยะ-วัชชีปุตตกะ) ว่าเป็นนิกายที่ยอมรับความมีอยู่ของบุคคล[๑๐] กลุ่มนิกายนี้ยอมรับว่าขันธ์ ๕ มีการเปลี่ยนแปลง แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า “บุคคล”(Individuality)เป็นฐานรองรับอยู่ บุคคลนี้ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ในขณะเดียวกันก็ไม่เป็นอื่นจากขันธ์ ๕ และบุคคลนี้เองเป็นผู้ทำกรรมและคอยรับผลกรรมทั้งในชาตินี้และชาติหน้า อีกนิกายหนึ่งคือนิกายสัพพัตถิกวาท(หรือสรวาสติวาท) แม้จะมีแนวคิดร่วมกับคณะสงฆ์นิกายอื่นๆ ที่ยอมรับว่าสิ่งทั้งปวงมีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้มีบางสิ่งบางอย่างคงอยู่ตลอดทั้ง ๓ กาลคืออดีต ปัจจุบัน และอนาคต สิ่งที่คงอยู่นี้เรียกว่า “สภาวะ/สวภาวะ”(Self-Nature) กล่าวคือความเป็นรูป(รูปภาวะ) ความเป็นเวทนา(เวทนาภาวะ) ความเป็นสัญญา(สัญญาภาวะ) ความเป็นสังขาร(สังขารภาวะ) และความเป็นวิญญาณ(วิญญาณภาวะ)[๑๑] ถามว่าทำไมคณะสงฆ์กลุ่มปุคคลวาทนี้จึงยอมรับเรื่องบุคคล และทำไมนิกายสัพพัตถิกวาทจึงยอมรับความคงอยู่ตลอดกาลทั้งสามของสิ่งทั้งปวง เป็นไปได้หรือไม่ว่ากลุ่มพระสงฆ์เหล่านี้เห็นว่ารูปแบบการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกรรมกับอนัตตาเท่าที่มีอยู่ในยุคนั้นไม่สามารถตอบปัญหาของผู้สงสัยได้อย่างสมบูรณ์ จึงได้เสนอรูปแบบการอธิบายใหม่ขึ้นมา นั่นคือการเสนอว่ามีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของขันธ์ ๕ ในฐานะเป็นผู้ทำกรรมและผู้รับผลกรรมในโลกนี้และโลกหน้า คัมภีร์มิลินทปัญหา เป็นวรรณกรรมที่เกิดหลังพุทธกาลประมาณ ๕๐๐ ปี โดยพระติปิฎกจูฬาภยเถระชาวสิงหลเป็นผู้รวบรวมคำปุจฉา-วิสัชนาของพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนไว้[๑๒] เนื้อหาของวรรณกรรมชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตายังเป็นปัญหายอดนิยมที่สังคมยุคนั้นให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ เหมือนเดิม มิลินทปัญหาได้ยกเอาปัญหานี้ขึ้นมาอยู่ในอันดับแรกเช่นเดียวกับกถาวัตถุ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับการบัญญัติชื่อเรียกบุคคล ผู้ทำกรรม ผู้รับผลของกรรม ถูกรวมอยู่ในหัวข้อ “ปัญญัตติปัญหา”[๑๓] และข้ออื่นๆ เป็นลำดับ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าความพยายามในการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาเท่าที่ทำมาตลอด ๕๐๐ ปีนั้น ยังไม่เป็นที่พอใจและไม่สามารถแก้ข้อสงสัยของคนในสังคมได้ทุกประเด็น พระเจ้ามิลินท์คือตัวแทนของคนในยุคนั้นที่ยังมีความสงสัยในแนวคิดของพุทธปรัชญาหลายๆ เรื่อง พระนาคเสนคือตัวแทนของคณะสงฆ์ในสมัยหลังพุทธกาล ๕๐๐ ปี ที่พยายามสรรหาวิธีการต่างๆ มาตอบข้อสงสัยในพุทธปรัชญาของผู้คนในสังคม คัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นวรรณกรรมที่พระพุทธโฆสาจารย์แต่งขึ้นในลังกา หลังพุทธปรินิพพาน ๙๐๐ ปีเศษ ได้นำเสนอพุทธธรรมในกรอบของไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา สำหรับในส่วนที่อธิบายปัญญา(ปัญญานิทเทส) พระพุทธโฆสาจารย์ได้เสนอการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาตามแนวคัมภีร์อภิธรรม โดยแยกชีวิตออกเป็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ซึ่งถือว่าเป็นภูมิแห่งปัญญา อธิบายเรื่องกรรมกับอนัตตาอย่างละเอียดในรูปภวจักรหรือสังสารวัฏอย่างละเอียดบนพื้นฐานความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยตามหลักปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ แล้วเชื่อมโยงกับแนวการปฏิบัติตามหลักวิสุทธิ ๗ อย่างครบถ้วน เป็นที่น่าสังเกตว่ารูปแบบการอธิบายปฏิจจสมุปบาทในพระไตรปิฎก ปราชญ์ชาวพุทธบางท่านสรุปว่ามี ๒ แบบ[๑๔] คือแบบแสดงกระบวนการเกิดดับแห่งทุกข์ที่เป็นไปในชีวิตในชาติปัจจุบันหรือแบบขณะจิต และแบบแสดงกระบวนการเกิดดับแห่งทุกข์ที่ดำเนินไปข้ามภพข้ามชาติ ในบรรดา ๒ แบบนั้น พระพุทธโฆสาจารย์ได้เน้นอธิบายแบบข้ามภพข้ามชาติเป็นจุดเด่นในคัมภีร์นี้มากกว่าการอธิบายแบบขณะจิต ซึ่งจุดเน้นนี้ทำให้มองเห็นแนวคิดว่าการอธิบายแบบข้ามภพข้ามชาติเป็นการแสดงให้เห็นถึงหลักกรรมและอนัตตาได้อย่างเป็นรูปธรรมกว่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องกรรมและผู้รับผลของกรรมแบบข้ามภพข้ามชาติในสภาพที่ปราศจากตัวตนยังคงเป็นปัญหาคาใจของคนในยุคของท่านอยู่หมือนเดิม คัมภีร์อภิธัมมาวตาร เป็นวรรณกรรมที่พระพุทธทัตตเถระแต่งขึ้นในยุคเดียวกันกับคัมภีร์วิสุทธิมรรค เนื้อหาคัมภีร์เป็นการสรุปพุทธธรรมลงในกรอบปรมัตถธรรม ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน และกล่าวถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดอื่นอีกรวมเป็น ๒๔ ปริจเฉท กล่าวกันว่าอภิธัมมาวตารเป็นคัมภีร์สังเขปอภิธรรมเล่มแรกและเป็นต้นแบบของคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะในเวลาต่อมา สำหรับเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมท่านกล่าวไว้ในวิปากจิตตัปปวัตตินิเทศ เรื่องอัตตา อนัตตา อธิบายไว้ในการกปฏิเวธนิเทศและทิฏฐิวิสุทธินิเทศ ข้อน่าสังเกตในการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาในคัมภีร์นี้คือรูปแบบการนำเสนอใช้วิธีการถามตอบคล้ายกับกถาวัตถุ แต่เป็นการตั้งคำถามขึ้นมาเองและตอบเองด้วยข้อความสั้นกระชับ ไม่ซับซ้อนเหมือนกถาวัตถุ เช่น ถามว่า : พระผู้มีพระภาคทรงแสดงกุศลธรรมเป็นต้นไว้ แต่มิได้ทรงแสดงอัตตาผู้ทำกุศลเป็นต้นนั้น เมื่อไม่มีอัตตาผู้ทำกรรมผู้เสวยผลกรรม กุศลและอกุศลก็ไม่ควรจะมีได้ เมื่อไม่มีกุศลและอกุศล วิบากของกุศลและอกุศลที่เป็นไปเนื่องด้วยกุศลและอกุศลก็ไม่ควรจะมีได้ ดังนั้นการแสดงกุศลธรรมเป็นต้น ก็หาประโยชน์มิได้หรือไร ตอบว่า : การแสดงธรรมนี้มีประโยชน์โดยแท้ เพราะถ้ากุศลเป็นต้นไม่ควรจะมีได้เนื่องจากไม่มีผู้ทำกรรม อัตตาที่เดียรถีย์ดำริขึ้นก็ไม่ควรจะมีได้ เพราะไม่มีอัตตาอื่นที่ทำอัตตานั้น[๑๕] อย่างไรก็ตาม เมื่อดำเนินการถามตอบปัญหาเรื่องนี้ไปจนถึงที่สุดแล้ว พระพุทธทัตตะได้สรุปว่าผู้ศึกษาเรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจเทศนาของพระพุทธเจ้าว่ามีทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ โดยเฉพาะเรื่องขันธ์ ๕ นี้เมื่อว่าตามสภาวะปรมัตถ์แล้วเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง มีเพียงกระแสธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเท่านั้น นอกจากวิสุทธิมรรคและอภิธัมมาวตารแล้ว วรรณกรรมแนวอภิธรรมยุคต่อมาคือคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ(ประมาณ พ.ศ.๑๗๐๐) อภิธัมมัตถสังคหฎีกา อภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา และอภิธัมมัตถสังคหทีปนีฎีกา วรรณกรรมเหล่านี้ได้พยายามรักษารูปแบบการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาในแนวอภิธรรม โดยสรุปและจัดเนื้อหาของพระอภิธรรมปิฎกให้อยู่ในกรอบปรมัตถธรรม ๔ เหมือนเดิม แล้วแสดงให้เห็นกระบวนการทำงานสัมพันธ์กันและกระแสการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของจิต เจตสิกและรูป ตามหลักปฏิจจสมุปบาท จากข้อมูลที่ผู้วิจัยได้นำเสนอมาโดยสังเขปนี้ แสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาเถรวาทได้เผชิญหน้ากับการโต้แย้งและการตั้งคำถามเรื่องกรรมกับอนัตตามาตลอดประวัติศาสตร์ ทั้งจากชาวพุทธเองและคนในลัทธิฝ่ายตรงข้าม ยิ่งฝ่ายตรงข้ามได้พัฒนาตรรกศาสตร์หรือเหตุผลในการโต้แย้งให้มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งกระตุ้นให้มีการพัฒนารูปแบบการตอบปัญหาให้สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาว่าตั้งแต่ยุคสมัยพุทธกาลจนถึงยุคหลังพุทธกาลโดยมีอรรถกถาฎีกาเป็นหลักฐาน พระพุทธศาสนาเถรวาทได้เผชิญกับปัญหาข้อโต้แย้งเรื่องกรรมกับอนัตตาอย่างไรบ้าง และได้พัฒนารูปแบบและวิธีการตอบปัญหานี้อย่างไรบ้าง บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาของพระนาคเสนที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหา โดยจำกัดขอบเขตของการเขียนเฉพาะที่ปรากฏในมิลินทปัญหาและอรรถกถา ฎีกาของมิลินทปัญหาเท่านั้น การปฏิเสธอัตตา ของพระนาคเสน พระนาคเสนมีอายุในปี พ.ศ.ที่เท่าใดยังไม่มีหลักฐานชัดเจน มีแต่สัณฐานตามลักษณะประวัติของกรีกคือยุคพระยามิลินท์หรือเมนันเดอร์ที่มาปกครองอินเดียทางภาคเหนือ(พ.ศ.๓๘๘-๔๑๓) และการแต่งคัมภีร์นี้น่าจะอยู่ในช่วงพ.ศ. ๕๐๐[๑๖] ส่วนประวัติของพระนาคเสนตามคัมภีร์นี้ระบุว่าท่านเกิดที่หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อคชังคละ ข้างภูเขาหิมพานต์ เมื่ออายุ ๗ ปีได้ศึกษาจบไตรเพทและต่อมาเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา โดยมีพระโรหณะเป็นอุปัชฌาย์[๑๗] พระเถระมีความรู้แตกฉานในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่ได้ทำการกอบกู้สถานการณ์พระพุทธศาสนาซึ่งกำลังย่ำแย่เพราะถูกโจมตีจากราชาปราชญ์คือพระยามิลินท์กษัตริย์แห่งโยนกได้ตั้งข้อสงสัยและถามเมื่อประมาณ ๒,๐๔๖ ปีมาแล้ว ข้อสงสัย ประเด็นคำถามและคำตอบของนักปราชญ์ทั้งสองได้ดำเนินไปอย่างดุเดือดชนิดที่ฝ่ายหนึ่งเอาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของความเป็นพระราชามาเป็นเดิมพัน และอีกฝ่ายหนึ่งก็เอาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาเป็นประกัน แม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านมาแล้วสองพันกว่าปีก็ตาม แต่ยังดูเหมือนว่าคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เนื่องจากว่าเป็นประเด็นเกี่ยวกับหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนาซึ่งเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตมนุษย์ในสังคมทั้งโดยตรงและโดยอ้อม โดยพระยามิลินท์สวมบทบาทของผู้ครองเรือน ส่วนพระนาคเสนสวมบทบาทตัวแทนทางศาสนาที่จะต้องตอบปัญหาให้กระจ่าง ไม่ทิ้งหลักพุทธธรรม และไม่สร้างปัญหาสังคมภายหลัง เพราะถ้าพระนาคเสนตอบปัญหานี้ผิดจากแนวพุทธศาสนา นั่นก็แสดงว่าปริยัติธรรมถูกท้าทายต่อการพิสูจน์จากกระแสสังคม จะส่งผลต่อการปฏิบัติศาสนา ปฏิเวธธรรมก็จะเปล่าประโยชน์ แต่เหตุการณ์นี้ได้ผ่านบทพิสูจน์ไปได้ด้วยดี วีรธรรมของนักปราชญ์ทั้งสองที่ได้ทำไว้ยังอยู่ในความทรงจำของชาวพุทธตลอดมา สำหรับปัญหาที่นักปราชญ์ทั้งสองได้ถามตอบกันนั้นมีหลายประเด็น ในที่นี้จะพิจารณาเฉพาะการปฏิเสธอัตตา ของพระนาคเสนเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา แนวการปฏิเสธของพระเถระพอสรุปได้ดังนี้ การปฏิเสธอัตตา ด้วยวิธีการวิภัชชวาที วิธีการนี้เป็นวิธีการตอบปัญหาแบบจำแนกแยกแยะคำถามและคำตอบอย่างละเอียด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญญา ปฏิภาณไหวพริบของผู้ถามและผู้ตอบได้อย่างชัดเจน เป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกร่วมสมัยเคยใช้มาแล้ว ต่างกันเพียงวิธีการ(เทคนิค) บุคคล เวลาและสถานที่เท่านั้น ส่วนเนื้อหายังคงเหมือนเดิม จะเห็นได้จากการปฏิเสธเรื่องบุคคลหรืออัตตาในปัญญัตติปัญหา หรือนามปัญญัตติ โดยที่พระยามิลินท์ได้ถามพระนาคเสนว่าพระผู้เป็นเจ้ามีชื่อว่าอย่างไร พระนาคเสนถวายพระพรว่า อาตมภาพชื่อนาคเสน สหพรหมจารีก็เรียกอาตมภาพว่านาคเสน ส่วนโยมมารดาบิดาเรียกชื่อว่า นาคเสนบ้าง สูรเสนบ้าง วีรเสนบ้าง สีหเสนบ้าง แต่ชื่อนาคเสนนั้นเป็นสักแต่ว่าชื่อใช้เรียกขาน เป็นสมัญญา เป็นบัญญัติ เป็นโวหาร ไม่มีบุคคล(อัตตา)ในชื่อนั้น เมื่อพระนาคเสนกล่าวอย่างนี้ พระยามิลินท์เห็นโอกาสที่จะจับผิดคำพูดของพระเถระจึงประกาศให้ชาวโยนก ๕๐๐ และภิกษุ ๘ หมื่นรูปได้เป็นพยานว่า พระนาคเสนกล่าวว่าไม่มีบุคคลในชื่อนั้น ซึ่งก็คือการปฏิเสธว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่อัตตา นั่นเอง โดยท้าวเธอได้ถามอีกว่า ถ้าไม่มีบุคคล(อัตตา) แล้ว ใครถวายบริขารมีจีวรเป็นต้น แก่พระผู้เป็นเจ้า ใครใช้สอยบริขารนั้น ใครรักษาศีล ประกอบภาวนา ใครทำให้แจ้งมรรคผลนิพพาน ใครฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์...ใครทำอนันตริยกรรม เพราะฉะนั้น กุศลอกุศลก็ไม่มี กรรมดีกรรมชั่วที่บุคคลทำเองและให้ผู้อื่นทำก็ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วก็ไม่มี ถ้ามีผู้มาฆ่าพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่เป็นบาป แม้อาจารย์ อุปัชฌาย์และอุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี แล้วอะไรกันละเป็นนาคเสน ผมเป็นนาคเสนหรือ ขน เล็บ...สมอง พระเถระถวายพระพรว่า ไม่ใช่ทั้งนั้น พระราชาจึงถามว่าขันธ์ ๕ แต่ละอย่างเป็นนาคเสนหรือ จนกระทั่งถามว่าเสียงเรียกว่านาคเสนเท่านั้นหรือเป็นนาคเสน พระเถระถวายพระพรไม่ใช่เหมือนเดิม ซึ่งเมื่อกล่าวโดยสรุปปัญหาคือถ้าไม่มีบุคคลหรืออัตตาแล้ว ใครเป็นผู้ทำกรรมและรับผลของกรรม เมื่อพระเจ้ามิลินท์ถามปัญหาเสร็จแล้ว พระนาคเสนได้ถามกลับบ้างว่า มหาบพิตรเสด็จมาครั้งนี้ด้วยพระบาทหรือราชรถ ได้รับคำตอบว่า ด้วยราชรถ พระเถระถามต่อไปว่าตรงไหนเรียกว่ารถ งอน(อีสา)รถเป็นรถหรือ ล้อรถเป็นรถหรือ แอกรถเป็นรถหรือ จนกระทั่งถามว่า เสียงเรียกว่ารถเท่านั้นเป็นรถหรือ พระราชาตอบว่าไม่ใช่ทั้งนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า มหาบพิตรเป็นอัครราชาแห่งสกลชมพูทวีป ทำไมกล่าววาจาเหลาะแหล กล่าวมุสาวาทเล่า เชิญฟังเถิดชาวโยนกและภิกษุทั้งหลาย จากนั้น พระยามิลินท์รีบโต้แย้งว่าไม่ได้กล่าวมุสา ที่เรียกว่ารถนั้นเพราะอาศัยส่วนประกอบต่างๆ มีงอนเป็นต้น รวมกันเข้าเป็นรถ คำว่ารถเป็นเพียงโวหารเรียกขานให้เข้าใจกัน เมื่อถึงตอนนี้ พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า ถูกแล้ว มหาบพิตร อาตมภาพได้ชื่อว่านาคเสนเพราะอาศัยเครื่องประกอบอวัยวะทุกอย่างคืออาการ ๓๒ มีผมเป็นต้น และขันธ์ ๕ แต่โดยปรมัตถ์แล้วบุคคล(อัตตา)ไม่มีในชื่อนั้น และยกเถรีภาษิตมาประกอบว่า “เสียงว่า “รถ” มีได้เพราะอาศัยส่วนประกอบของรถ ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ การสมมติว่า “สัตว์” ก็มีได้ ฉันนั้น”[๑๘] จะเห็นได้ว่าพระนาคเสนตอบปัญหาแบบวิภัชชวาที จำแนก “บุคคล” หรืออัตตาที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ามี แยกแยะให้เห็นรายละเอียดว่าโดยปรมัตถ์แล้วไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่าสัตว์ บุคคลตัวตน เราเขา เป็นเพียงนาม(นามภาว)เป็นเพียงบัญญัติ เป็นเพียงชื่อสมมติที่ใช้สื่อความหมายเรียกกันให้เข้าใจเท่านั้น สิ่งที่นอกจากนาม เช่น สภาวะแห่งรูป(รูปสภาว) เวทนา(เวทนาสภาว) สัญญา(สญฺญาสภาว) สังขาร(สงฺขารสภาว) วิญญาณ(วิญญาณสภาว) อายตนะ(อายตนสภาว) ธาตุ(ธาตุสภาว) สัจจะ(สจฺจสภาว) และอินทรีย์(อินทฺริยสภาว) ก็ไม่มีเช่นกั
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. สำนักหอสมุดและเทคโนโลยีสารสนเทศ
Address: กรุงเทพมหานคร
Email: library@mcu.ac.th
Role: อาจารย์ที่ปรึกษา
Issued: 2556-10-10
บทความ/Article
application/pdf
tha
©copyrights มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
RightsAccess:
ใช้เวลา
0.02084 วินาที

ดร. ประพันธ์ ศุภษร
Title Contributor Type
ธัมมสันตติ : วิธีการตอบปัญหาเรื่องกรรมกับอนัตตาของพระนาคเสน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ดร. ประพันธ์ ศุภษร

บทความ/Article
Copyright 2000 - 2025 ThaiLIS Digital Collection Working Group. All rights reserved.
ThaiLIS is Thailand Library Integrated System
สนับสนุนโดย สำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
328 ถ.ศรีอยุธยา แขวง ทุ่งพญาไท เขต ราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทร. โทร. 02-232-4000
กำลัง ออน์ไลน์
ภายในเครือข่าย ThaiLIS จำนวน 0
ภายนอกเครือข่าย ThaiLIS จำนวน 2,356
รวม 2,356 คน

More info..
นอก ThaiLIS = 32,455 ครั้ง
มหาวิทยาลัยสังกัดทบวงเดิม = 8 ครั้ง
มหาวิทยาลัยราชภัฏ = 4 ครั้ง
รวม 32,467 ครั้ง
Database server :
Version 2.5 Last update 1-06-2018
Power By SUSE PHP MySQL IndexData Mambo Bootstrap
มีปัญหาในการใช้งานติดต่อผ่านระบบ UniNetHelp


Server : 8.199.134
Client : Not ThaiLIS Member
From IP : 216.73.216.33