Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางการอ่านอย่างมีวิจารญาณของนักเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนเขื่องในพิทยาคาร อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 48 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ระยะเวลาที่ใช้ในการทอสอบ จำนวน 12 วัน วันละ 1 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง การทดลองครั้งนี้ใช้รูปแบบ One Group Pretest Posttest Desesign เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบฝึกทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งมีค่าความยากง่ายตั้งแต่ .28 ถึง .76 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .24 ถึง .54 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .82 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่า t
ผลการวิจัยพบว่า
1. แบบฝึกทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.27/85.57 ตามเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 80/80
2. นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความสามารถทางการอ่านอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
The purposes of this study were to develop the drills on critical reading skills in the Thai Languages strand for Mathayom Suksa 2 student based on the efficiency criteria 0f 80/80, and to compare the reading achievement before and after using the drills.
The samplr used in the study consisted of 48 Mathayom Sulsa 2 students of Khaugnai Pittayakan School, Khaugnai District, Secondary Education Service Area Office 29, gained by simple random sampling. The one group, pretest posttest design was applied for this research. The research tool were the dills and the achievement test. The difficulty indices of the test ranged from .28 to .76, the discrimination ranged from .24 to 54. And the reliability value was .82.
The collected data were analyzed by the percentage, mean, standard deviation, and t-tast.