Comparison of beam data for different detectors of a 6 MV photon beam

การเปรียบเทียบหัววัดรังสีในการวัดลำรังสีโฟตอนพลังงาน 6 MV.

Name: Thepphithak Watthanasarn

LCSH: Beam optics

LCSH: Cancer -- Radiotherapy

LCSH: Detectors

LCSH: Radiotherapy

MeSH: Lasers Semiconductor

The aim of this work was to investigate the different radiation detectors of Lopburi Cancer Center by comparing the beam data measurement: output factor, beam profile, and depth dose for field sizes between 2×2 cm2 to 30×30 cm2 at the depth of 1.5, 5, and 10 cm for 100 cm SSD in a 6 MV photon beam. For output factor measurements, IC 0.3 cm3, Markus parallel plate chamber, and diode were used with respect to IC 0.6 cm3 due to its air equivalence. However for beam profile and depth dose measurements, IC 0.3 cm3, Markus parallel plate chamber were used with respect to the diode measurement due to its high spatial resolution as compared with XV film for some field sizes and depths. The IC 0.3 cm3 and Markus parallel plate chamber are suitable for output measurement except for field sizes smaller than 3×3 cm2. The IC 0.6 cm3 underestimated the output factor for 2×2 cm2 about 24.3% compared with IC 0.3 cm3 due to it suffers from the volume averaging effect. For results concerning beam profile and surface dose measurement, both IC 0.3 cm3 and Markus parallel plate chamber were not suitable due to their finite size of the sensitive volume. The maximum penumbra width difference was about 3 mm and the maximum surface dose for difference was about 3.7% and 9.4% for IC 0.3 cm3 and Markus parallel plate chamber respectively at the field size of 2×2 cm2 compared with diode measurement. Diode is highly suitable for a routine use of beam profile and depth dose measurement although diode is slightly over-response at the distal region of the depth dose curve and the penumbra tail due to its non tissue equivalence.

Abstract: วัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อศึกษาคุณสมบัติของหัววัดรังสีของศูนย์มะเร็งลพบุรีในการวัด คุณสมบัติของลำรังสีทั้งค่า output percentage depth dose และ beam profile ทำการวัดลำรังสีขนาด ตั้งแต่ 2× 2 ตารางเซนติเมตร ถึง 30 × 30 ตารางเซนติเมตร ที่ความลึก 1.5 5 และ 10 เซนติเมตร โดย จัดระยะ source skin distance เท่ากับ 100 เซนติเมตร ใช้โฟตอนพลังงาน 6 MV การวัดค่า Output ใช้หัววัดรังสีชนิด IC 0.3 cm3 Plane parallel และ diode เทียบกับ IC 0.6 cm3 ที่เป็นหัววัดรังสีอ้างอิง ส่วนการวัด beam profile และ percentage depth dose ใช้หัววัดรังสีชนิด IC 0.3 cm3 และ plane parallel เทียบกับ diode เพราะ diode มีค่า high spatial resolution ซึ่งได้ทำการ ปรับเทียบกับ XV film ในบางขนาดของลำรังสีและบางความลึกแล้ว จากผลการวิจัยพบว่าหัววัดรังสีชนิด IC 0.3 cm3 และ Plane parallel เหมาะสมในการวัดค่า Output ที่ขนาดของลำรังสีน้อยกว่า 3× 3 ตารางเซนติเมตร ส่วนหัววัดรังสีชนิด IC 0.6 cm3 จะเกิด underestimate เนื่องจากเกิด volume averaging effect ส่วนการวัดค่า beam profile และ percentage depth dose พบว่า IC 0.3 cm3 และ Plane parallelไม่เหมาะสมในการวัดเพราะมีค่า penumbra มากกว่าของ diode ประมาณ 3 มิลลิเมตร ส่วนค่าปริมาณรังสีที่ผิวจะมีค่าความแตกต่างประมาณ 3.7% สำหรับหัววัดรังสีชนิด IC 0.3 cm3 และประมาณ 9.4% สำหรับหัววัดรังสีชนิด Plane parallelที่ ขนาดลำรังสี 2× 2 ตารางเซนติเมตร ส่วนหัววัดรังสีชนิด diode จะเหมาะสมในการวัดปริมาณรังสี ในการวัด beam profile และ percentage depth dose ที่ขนาดลำรังสีเล็ก ส่วนขนาดลำรังสีที่เพิ่มขึ้น และที่ความลึกมากขึ้น หัววัดรังสีชนิด diode จะไม่เหมาะสมในการวัดเพราะเกิดการตอบสนองค่า การวัดที่เกินความเป็นจริงจากคุณสมบัติของหัววัดรังสีเองคือมีค่าความหนาแน่นไม่เทียบเท่าค่า ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อ

Mahidol University

Address: NAKHON PATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Paungpen Tungboondaundjit

Role: Thesis Advisors

Created: 2008

Modified: 2553-06-17

Issued: 2010-06-17

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

CallNumber: TH T397c 2008

eng

DegreeName: Master of Science

Level: Master's Degree

Descipline: Medical Physics

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	4637066.pdf	4.14 MB	41	2025-01-22 15:54:11

ใช้เวลา

0.286105 วินาที