Intestinal absorption of fluid containing different composition of carbohydrates in sedentary and athletes

ผลของความเข้มข้นและองค์ประกอบของสารละลายคาร์โบไฮเดรตสำหรับชดเชยการสูญเสียของเหลวในร่างกายต่อการดูดซึมที่ลำไส้เล็กในคนปกติและนักกีฬา

Name: Phuntila Tharabenjasin

LCSH: Athletes -- Nutrition

LCSH: Carbohydrates in human nutrition -- Physiological effect

LCSH: Dietary supplements -- Physiological effect

LCSH: Runners (Sports) -- Nutrition

Abstract: Intestinal fluid absorption depends on several factors. The contribution of which is still unclear. The objectives of this study are: 1) to determine whether the presence of multiple types of carbohydrate (CHO) could offset the effect of hyperosmolality; and 2) to test whether high CHO consumption in endurance athletes would enhance CHO absorption. Eight healthy sedentary males and 8 male marathoners aged 20-30 years volunteered in this study. A triple-lumen tube was placed in the duodenojejunum and electrolyte (E) solutions containing 4 different compositions of CHO (A: 2% glucose, 4% sucrose, 290 mOsm/kg; B: 5.6% glucose, 1.1% fructose, 4.5% sucrose, 680 mOsm/kg; C: 5.7% glucose, 1.1% fructose, 2.5% sucrose, 0.1% maltose, 669 mOsm/kg; D: double distilled water) were infused 10 cm distal to the pyloric sphincter at 15 ml/min for 90 min. Fluid emerged from the proximal and distal sampling ports (10 and 50 cm distal to infusion port, respectively) were collected at every 15 min and analyzed for polyethylene glycol, CHO, Na+, and K+. Blood samples were also collected from the antecubital vein every 30 min. Results showed that all solutions produced water secretion in the duodenum of both sedentary subjects and marathoners. However, water secretion in the latter was less. In the jejunum, A and D caused water absorption, the latter is higher whilst B and C produced water secretion in all subjects. In both groups of subjects, there were no differences in the rate of CHO absorption in the duodenum and jejunum after infusion of different CHO-E solutions. CHO absorption rates in each intestinal segment of the sedentary subjects were comparable to those of athletes. Regression analyses indicated that water flux depends primarily on fluid osmolality or total electrolyte fluxes, not CHO fluxes, in both groups. It is concluded that fluid absorption in the proximal jejunum depends partly on solute (Na+ and Glucose) transport and osmotic flow of water. Multiple types of CHO cannot offset the osmotic effect. Endurance athletes do not have a higher rate of CHO absorption compared to sedentary persons.

Abstract: การดูดซึมของเหลวในลำไส้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการซึ่งยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าความสำคัญของแต่ละ ปัจจัยสอดคล้องกันอย่างไร ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้คือ 1. เพื่อทดสอบสมมติฐานว่าสารละลายที่มี ส่วนประกอบคาร์โบไฮเดรตหลายชนิดจะสามารถหักล้างผลของการที่สารละลายมีความดันออสโมติกสูงได้หรือไม่ 2. นักกีฬาที่บริโภคคาร์โบไฮเดรตปริมาณมากจะสามารถเพิ่มการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรตเมื่อเทียบกับคนปกติได้หรือไม่ อาสาสมัครผู้เข้าร่วมวิจัยถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มละ 8 คน ประกอบด้วย กลุ่มคนปกติและกลุ่มนักกีฬาวิ่ง มาราธอน อายุระหว่าง 20-30 ปี ผู้เข้าร่วมวิจัยแต่ละคนจะถูกสอดท่อ triple-multilumen tube ผ่านโพรงจมูกเข้าสู่ลำไส้ส่วน duodenojejunum หลังจากนั้นให้สารละลายที่มีความเข้มข้นคาร์โบไฮเดรตและอิเล็กโทรไลต์ (CHO-E) ต่างๆกัน 3 ชนิด (ชนิด A: 2% glucose, 4% sucrose, 290 mOsm/kg; ชนิด B: 5.6% glucose, 1.1% fructose, 4.5% sucrose, 680 mOsm/kg; ชนิด C: 5.7% glucose, 1.1% fructose, 2.5% sucrose, 0.1% maltose, 669 mOsm/kg) และ น้ำกลั่นสองครั้ง ผ่านทางท่อด้วยอัตราเร็ว 15 มิลลิลิตรต่อนาที ซึ่งปลายของท่ออยู่ห่างจาก pyloric sphincter 10 เซนติเมตร เป็นเวลา 90 นาทีต่อหนึ่งสารละลาย ของเหลวตัวอย่างจากลำไส้จะถูกเก็บทุก 15 นาทีจากทั้ง proximal และ distal sampling ports โดยปลายของท่อทั้งสองอยู่ห่างจากปลายท่อที่ให้สารละลาย 10 และ 50 เซนติเมตร ตามลำดับและนำไป วิเคราะห์หาปริมาณ PEG, คาร์โบไฮเดรต, โซเดียม และโพแทสเซียม นอกจากนี้ ตัวอย่างเลือดจะถูกเก็บทุก 30 นาทีตั้งแต่ เริ่มต้นให้สารละลายเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณกลูโคสและอิเล็กโทรไลต์ในเลือด ผลการวิจัยพบว่า สารละลายทั้ง 4 ชนิดก่อให้เกิดการขับน้ำออกมาในลำไส้ส่วน duodenum ซึ่งน้ำกลั่นจะมีผลต่อ การขับน้ำมากที่สุดทั้งใน 2 กลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัยโดยกลุ่มนักกีฬาจะมีการขับน้ำในอัตราที่น้อยกว่า และในลำไส้ส่วน jejunum พบว่า สารละลายชนิด A ซึ่งมีความดันออสโมติกใกล้เคียงกับพลาสมาและน้ำกลั่นก่อให้เกิดการดูดซึมน้ำในขณะที่ สารละลายชนิด B และ C ซึ่งมีความดันออสโมติกสูงกว่าพลาสมายังคงก่อให้เกิดการขับน้ำ การดูดซึมคาร์โบไฮเดรตของ สารละลาย CHO-E ทั้งสามชนิดมีอัตราที่เท่ากันทั้งในลำไส้ส่วน duodenum และ jejunum ของผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งสองกลุ่ม และเมื่อเปรียบเทียบอัตราการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต ระหว่างกลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งสองยังพบว่าไม่มีความแตกต่างกันทั้งใน ลำไส้ส่วน duodenum และ jejunum จากผลการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างการดูดซึมน้ำและปัจจัยต่างๆแสดงให้เห็น ว่าความดันออสโมติกของสารละลายและการดูดซึมอิเล็กโทรไลต์เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดูดซึมของน้ำในการวิจัย ครั้งนี้ ผลการวิจัยสรุปว่า การดูดซึมของเหลวในลำไส้ส่วน proximal jejuum ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการดูดซึมของตัวถูก ละลายไม่ว่าจะเป็นอิเล็กโทรไลต์หรือคาร์โบไฮเดรต สารละลายที่มี คาร์โบไฮเดรตหลายชนิดไม่สามารถหักล้างผลของ ความดันออสโมติกที่สูงในสารละลายนั้นได้ และอัตราการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตในนักกีฬาไม่แตกต่างจากกลุ่มคนปกติ

Mahidol University

Address: NAKHONPATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Chumpol Pholpramool

Role: Thesis Advisors

Created: 2007

Modified: 2553-06-18

Issued: 2010-06-14

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

CallNumber: TH P577i 2007

eng

DegreeName: Master of Science

Level: Master's Degree

Descipline: Exercise Physiology

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	4636512.pdf	3.57 MB	122	2024-02-13 15:27:48

ใช้เวลา

0.257416 วินาที