The study of dose at the junction field in head and neck cancer treatment

การศึกษาปริมาณรังสีที่บริเวณรอยต่อของลำรังสีในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอ

Name: Nuntawat Ou-Dee

LCSH: Cancer -- Treatment

MeSH: Radical Neck Dissection

Abstract: The treatment of head and neck cancer commonly uses two lateral fields with an anterior field to create a matching of the junction region. Various techniques are used to match the lateral head and neck fields to the anterior field. The techniques include straight beam, angled beam and half beam. The aim of this study was to assess the average radiation dose delivered at the surface and in the plane of the junction. Beams of 6 MV x-rays from a Clinac 1800 linear accelerator were used. An Alderson Rando phantom was prepared for the placement of 89 TLD, (Thermoluminescent Dosimeter), chips in the transverse plane of the central axis and junction. The comparison between calculated dose of computer treatment planning and measured dose of TLDs at selected points of all treatment techniques and field sizes were agreeable, the average difference was 1.77% and the maximum difference was 5.07%. The measured doses at various points in the junction plane are presented as % dose of normalized at the points of the prescribed dose. The average doses at the junction of the straight beam technique were 104.44%, 118.15% and 128.82% for 12x10, 12x13 and 12x15 cm2, respectively. The average doses at the junction of the angled beam techniques were 88.51%, 95.03% and 103.29% for 12x10, 12x13 and 12x15 cm2, respectively. The average doses at the junction field of the half beam technique were 98.74%, 104.08% and 98.11% for 12x10, 12x13 and 12x15 cm2, respectively. The results showed that the doses both in the phantom and at the surface of phantom of straight beams increase with increasing field size. This is due to the divergence of the beam in the phantom. For angled beam technique, the angle of couch and gantry could not be set accurately according to the plan in the treatment planning computer. This is the cause of under dosage in 12x10 cm2 field sizes .The doses were close to 100% in field sizes 12x13 and 12x15 cm2, which could be set accurately. For the half beam technique, the doses were close to 100% at all field sizes. The superiority of the half beam technique is the avoidance of overdose and under dosage at the junction field including reduction of daily patient set up time, dose homogeneity and better reproducibility.

Abstract: การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอโดยทั่วไปเป็นการให้ลำรังสีเข้าทางด้านซ้ายและขวาต่อเนื่องกับการให้ลำรังสีทางด้านหน้าของผู้ป่วยซึ่งทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดรอยต่อของพื้นที่ลำรังสี ปัจจุบันมีเทคนิคที่ใช้ในการรักษาคือเทคนิค straight beam เทคนิค angled beam และเทคนิค half beam วัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้เพื่อต้องการทราบค่าเฉลี่ยของปริมาณรังสีที่บริเวณผิวหนังและบริเวณความลึกต่างๆ โดยลำรังสีเอกซเรย์ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้มาจากเครื่องเร่งอนุภาค รุ่น Clinac 1800 ที่พลังงาน 6 เมกกะโวลต์ อุปกรณ์วัดปริมาณรังสีชนิด thermoluminescent dosimeter (TLD) จำนวน 89 ชิ้น วัดในบริเวณกึ่งกลางและบริเวณรอยต่อลำรังสีในหุ่นจำลองผู้ป่วย ผลการศึกษาพบว่าการเปรียบเทียบปริมาณรังสีระหว่างการคำนวณโดยเครื่องวางแผนการรักษากับการวัดจริงโดยใช้ TLD มีความใกล้เคียงกัน โดยมีความแตกต่างสูงสุด 5.07% และมีค่าเฉลี่ยความแตกต่างคือ 1.77% ค่าปริมาณรังสีที่บริเวณรอยต่อลำรังสีในลักษณะของเปอร์เซ็นต์ปริมาณรังสีเทียบกับปริมาณรังสีที่กำหนดให้ พบว่าค่าเฉลี่ยของเทคนิค straight beam มีค่าเท่ากับ 104.44%, 118.15% และ 128.82% ของพื้นที่ลำรังสีขนาด 12x10, 12x13 และ 12x15 ซ.ม.2 ตามลำดับ ค่าเฉลี่ยของเทคนิค angled beam มีค่าเท่ากับ 88.51%, 95.03% และ 103.29% ของพื้นที่ลำรังสีขนาด 12x10, 12x13 และ 12x15 ซ.ม.2 ตามลำดับ และค่าเฉลี่ยของเทคนิค half beam มีค่าเท่ากับ 98.74%, 104.08% และ 98.11% ของพื้นที่ลำรังสีขนาด 12x10, 12x13 และ 12x15 ซ.ม.2 ตามลำดับ จากผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้ทราบว่าปริมาณรังสีบนผิวและที่ความลึกต่างๆของเทคนิค straight beam มีค่ามากขึ้นเมื่อพื้นที่ลำรังสีมีขนาดใหญ่ขึ้นเนื่องมาจากการซ้อนทับกันของลำรังสีสำหรับเทคนิค angled beam พบว่าการวางแผนการรักษาโดยการเอียงเตียงและ gantry ของเครื่องไปในมุมต่างๆ ต้องการความถูกต้องสูง ซึ่งผลการทดลองคือที่พื้นที่ลำรังสีขนาด 12x10 ซ.ม.2 ปริมาณรังสีที่บริเวณรอยต่อมีค่าน้อยในขณะที่พื้นที่ลำรังสี 12x13 และ 12x15 ซ.ม.2 ปริมาณรังสีใกล้เคียงกับ 100% สำหรับเทคนิค half beam ปริมาณรังสีที่ได้มีค่าใกล้เคียง 100% ในทุกพื้นที่ลำรังสี ซึ่งข้อดีของเทคนิค half beam คือปริมาณรังสีบริเวณรอยต่อไม่มากหรือน้อยเกินไป เทคนิคการจัดท่าผู้ป่วยค่อนข้างง่าย มีการกระจายสม่ำเสมอและมีความคงที่ในการวัด แต่ละครั้ง

Mahidol University

Address: NAKHON PATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Sivalee Suriyapee

Role: Thesis Advisors

Created: 2005

Modified: 2553-06-11

Issued: 2010-04-27

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

ISBN: 9740458858

CallNumber: TH N972s 2005

eng

DegreeName: Master of Science

Level: Master's Degree

Descipline: Medical Physics

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	4637056.pdf	2.36 MB	15	2024-04-29 09:53:28

ใช้เวลา

-0.746428 วินาที