Factors influencing discharge planning of professional nurses

ปัจจัยที่มีผลต่อการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยของพยาบาลวิชาชีพ

Name: Siriporn Boonpoon

MeSH: Continuity of Patient Care

MeSH: Nurses

MeSH: Patient Discharge

Abstract: This study was descriptive research aiming to study factors influencing discharge planning of professional nurses. The participants were 200 professional nurses who worked in the inpatient departments at Bumrungrad Hospital. Data collection was conducted from April to May, 2004 by the questionnaires developed by the researcher based on nursing process and discharge planning guidelines of the Nursing Division, Ministry of Public Health (1996). The data were analyzed by using descriptive statistics and Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient. The results revealed that all of the participants were female. The majority of them (64.5%) were aged from 22 to 27 years old, their educational level was mainly bachelor’s degree (91.5%). The professional nurses with 1 to 5 years of experience in working were the highest in number (82%). Most of them had never been trained in discharge planning (82.5%). In the discharge process, the professional nurses reported that they had the tools for discharge process (36%). The score of knowledge in discharge planning was at the high level ( X = 18.05, S.D. = 2.05). Additionally, the findings demonstrated that the educational level and experience in working were not correlated to the practice in discharge planning at a statistically significant level of .01 (p < .01). Training, knowledge of discharge planning, perception toward discharge planning, multidisciplinary team participation were correlated to the practice in discharge planning at a statistically significant level of .01(r = .308; r = .190 ; r = .382 ; r = .395, p < .01, respectively) and organizational factors such as hospital policies, administration and management, working conditions, documentation system, and communication were positively correlated to the practice in discharge planning at a statistically significant level of .01(r =.784; r =.662;r =.898;r = .936;r = .876,p < .01,respectively) The recommendation for improving effective discharge planning does not only depend on the knowledge and experience of nurses, but might depend on proper support from the hospital. Therefore, nurses should have continual formal training in discharge planning and the hospital should have a clear policy, effective strategies, models, a supportive system to solve the problems and provide the resources to facilitate the continuity of care to increase the quality of care in the practice of discharge planning

Abstract: การวิจัยเชิงบรรยายครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยของ พยาบาลวิชาชีพ กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในแผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์และให้ การพยาบาลแก่ผู้ป่วยโดยตรง จำนวน 200 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นตาม แนวความคิดของกระบวนการพยาบาลและการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย กองการพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข (1996) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติเชิงพรรณนา และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 22-27 ปี (64.5%) ส่วนใหญ่จบ การศึกษาระดับปริญญาตรี (91.5%) มีประสบการณ์การทำงานระหว่าง 1-5 ปี ไม่เคยได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับ การวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย (82.5%) กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยอยู่ในระดับสูง (X= 18.05, S.D. = 2.05) การจำหน่ายผู้ป่วย กิจกรรมที่พยาบาลส่วนใหญ่ปฏิบัติเป็นประจำคือ การประเมินสภาพ ผู้ป่วย แต่กิจกรรมที่เกี่ยวกับการประเมินผลลัพธ์ ยังปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ และพบว่าระดับการศึกษาและประสบการณ์ ในการทำงานไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย (P < .01) การฝึกอบรม ความรู้ในการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย การรับรู้ต่อการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย การมีส่วนร่วมของทีมสหวิชาชีพมี ความสัมพันธ์ทางบวกต่อการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .308; r = .190 ; r = .382 ; r = .395, p < .01, ตามลำดับ) และปัจจัยเกี่ยวกับองค์กร ประกอบด้วย นโยบายของโรงพยาบาล การบริหารจัดการ สภาพการทำงาน ระบบการบันทึกรายงานและการติดต่อสื่อสารมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อ การปฏิบัติการพยาบาลเพื่อการวางแผนการจำหน่ายผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r =.784; r =.662; r=.898; r = .936; r = .876 ; p < .01, ตามลำดับ) จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า การวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ความรู้ และประสบการณ์ในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพเท่านั้น ทั้งนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาล อย่างจริงจัง ดังนั้นพยาบาลวิชาชีพควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและ โรงพยาบาลต้องกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย มีระบบเกื้อหนุนเพื่อช่วยแก้ปัญหาและ ทำให้กระบวนการการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยเกิดอย่างต่อเนื่อง มีรูปแบบ แผนกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ และจัดหา แหล่งประโยชน์ในการส่งเสริมการดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย

Mahidol University

Address: NAKHON PATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Orapan Thosingha

Role: Thesis Advisors

Created: 2004

Modified: 2553-03-20

Issued: 2010-02-24

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

ISBN: 9740453597

CallNumber: TH S619f 2004

eng

DegreeName: Master of Nursing Science

Level: Master's Degree

Descipline: Adult Nursing

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	4237302.pdf	788.33 KB	217	2025-10-02 19:51:06

ใช้เวลา

0.265058 วินาที