Motivation for graduate studies of female and male graduate students

แรงจูงใจในการเข้าศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาของนักศึกษาหญิงและชาย

Name: Wan-Arsan Kriangwattanapong

LCSH: Economics

LCSH: Graduate students

LCSH: Motivation (Psychology)

LCSH: Self-actualization (Psychology)

Abstract: Over the last decade, the number of female graduate students has consistently risen, giving rise to the question as to whether women have greater or different motivations than men. The objectives of this research were to study the motivation for graduate studies of female and male university students, and factors affecting motivation. The sample of this research was 400 students who had applied to study in universities in Bangkok and nearby. Descriptive statistics were used to analyze the results of a self-administered questionnaire. Open-ended interviews were also used. The study found that female and male students are not differently motivated. Self-improvement is a motivation at the highest level for both sexes. Economic and social factors are motivations at a moderate level. Students applying to study in different courses have differing motivations. Differences in age, occupation and entrance and graduation requirements and processes carry with them different economic motivations but no difference in motivation due to self-improvement and social factors. Graduate students both male and female, seem to be motivated more by selfimprovement and economic factors than social ones. This is an undesirable situation. Graduate studies should emphasize not only learners’ potential personal academic development and role in the country's development but also the development of civicmindedness for the benefit of society as a whole.

Abstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพแรงจูงใจในการเข้าศึกษาในระดับบัณฑิต ศึกษาของนักศึกษาหญิงและชายในมหาวิทยาลัย และปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการเข้าศึกษาใน ระดับบัณฑิตศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาในการวิจัยครั้งนี้คือ นักศึกษาที่สมัครเข้าศึกษาใน มหาวิทยาลัยประเภทจำ กัดรับที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำ นวน 400 คน การ วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิง วิเคราะห์ ได้แก่ การทดสอบค่าที (T-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) และการ วิเคราะห์จำ แนกพหุ (Multiple Classification Analysis: MCA) ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาหญิงและชายมีแรงจูงใจในการเข้าศึกษาในระดับบัณฑิต ศึกษาไม่แตกต่างกัน และนักศึกษาหญิงและชายมีแรงจูงใจในการเข้าศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ด้านการพัฒนาตนเองอยู่ในระดับมาก แต่มีแรงจูงใจในการเข้าศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาด้าน สังคมและด้านเศรษฐกิจอยู่ในระดับปานกลาง และพบว่านักศึกษาที่สมัครเข้าศึกษาในสาขาวิชาที่ ต่างกันมีแรงจูงใจในการเข้าศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาทุกด้านแตกต่างกัน สำ หรับนักศึกษาที่มีอายุ อาชีพและกระบวนการรับเข้าและจบการศึกษาของสถาบันต่างกันมีแรงจูงใจในการเข้าศึกษาใน ระดับบัณฑิตศึกษาด้านเศรษฐกิจแตกต่างกัน แต่มีแรงจูงใจในการเข้าศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ด้านการพัฒนาตนเอง และด้านสังคมไม่แตกต่างกัน ข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้คือ การศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษานอกจากควร จะมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของผู้ศึกษาให้เป็นบุคคลากรระดับมันสมองของประเทศอันมีความจำ เป็น ต่อการพัฒนาประเทศแล้ว หลักสูตรกระบวนการเรียนการสอนยังควรมุ่งเน้นให้ผู้ศึกษามีจิต สาธารณะ และเสริมสร้างการเอาธุระต่อสังคมส่วนรวมมากกว่าการเรียนไปเพื่อความสำ เร็จก้าวหน้า ของตนเองเป็นหลักเพียงอย่างเดียวด้วย

Mahidol University

Address: NAKHON PATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Nawarat Phlainoi

Role: Thesis Advisors

Created: 2004

Modified: 2553-04-26

Issued: 2010-02-01

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

ISBN: 9740443699

CallNumber: TH W244m 2004

eng

DegreeName: Master of Arts

Level: Master's Degree

Descipline: Population Education

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	4236907.pdf	1.07 MB	83	2023-04-22 10:30:43

ใช้เวลา

0.336486 วินาที