A comparasion study of middle latency response between learning disabilities and normal children aged 8-12 years

การศึกษาเปรียบเทียบผลการตรวจการได้ยินเหนือระดับก้านสมองระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องด้านการเรียนกับเด็กปกติอายุ 8-12 ปี

Name: Kanokporn Kitisupornpun

LCSH: Learning disabilities

Abstract: The purpose of this research was to compare middle latency response (MLR) in waveform morphology, latency, and amplitude between children with learning disabilities and normal children. The study was conducted by using 28 normal children (15 boys, 13 girls) and 13 boys with learning disabilities. Subjects were between 8-12 years of age. The MLR responses were recorded with a Nicolet Spirit 2000. The stimuli were click 500-1000 sweeps with 0.1 ms duration, alternating polarity, applied at a rate of 3.7 / sec, and at 70 dBnHL intensity to both ears. The filter bandpass was 5 -100 Hz. The electrode sites were placed on the vertex (Cz), each mastoid (A1, A2), and forehead (ground). All subjects were kept alert and awake by watching a video cartoon without sound during the test. The results of this study showed that MLR waveform morphology could be classified into three types of Pa. Type 1 showed a sharp, distinct peak for wave Pa and Pb, Type 2 showed a broad Pa component with two rounded peaks with a minimal trough between the two peaks, Type 3 showed a clear wave Pa which had a sharp peak or rounded peak with a broad base, and which might be followed with either a deep Nb trough or no apparent negative trough although it was not followed by a Pb component. The results showed that the largest percentage of identifiable MLR waveforms in the learning disabilities group were Type 1, while a high percentage of identifiable MLR waveforms in the normal group were Type 2. The percentage of detectability of Pa in 8 years old subjects was 66.67 %, and for those who were older than 8 years it was 100%. There were statistically non significant differences in MLR latency (Na, Pa, Nb, and Pb) and MLR amplitude (Pa and Pb) in both ears between children with learning disabilities and normal children. These findings indicated that, first, the variations of MLR waveform morphology were the results of multiple overlapping cortical sources that contributed to the generation of MLR. Second, there could be different types of MLR waveform identification. Third, there could be different measurement parameters of MLR recording used by other researchers. The results of this study may be used as guidelines for the further study of MLR in order to evaluate other groups of subjects or to develop a test. Further, MLR testing should be conducted by using larger groups of normal children and other children with learning disabilities. In addition, different parameters should be considered for future MLR research.

Abstract: งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการตรวจการได้ยินเหนือระดับก้านสมอง (MLR)ใน ด้านรูปร่างคลื่น ค่าเฉลี่ยเวลาในการเกิดคลื่น และค่าเฉลี่ยความสูงของคลื่น ระหว่างเด็กปกติ จำ นวน 28 คน เป็น ชาย 15 คน หญิง 13 คน เปรียบเทียบกับเด็กชายที่มีปัญหาการเรียนบกพร่อง จำ นวน 13 คน ในช่วงอายุ 8 -12 ปี ทำ การทดสอบด้วยเครื่อง Nicolet Spirit 2000 ใช้เสียงคลิกกระตุ้น 3.7 คลิก ต่อ วินาที ที่ระดับความดัง 70 dBnHL จำ นวน 500-1000 ครั้ง polarity เป็น Alternation ช่วงความถี่ 5-100Hz โดยใช้ตำ แหน่ง electrode ที่ กลางศีรษะ (Cz) กระดูกมาสตอยด์ 2 ข้าง (A1, A2) และ หน้าผาก ( ground) และให้เด็กชมการ์ตูนทางวิดีทัศน์ที่ไม่มีเสียงเพื่อ ให้เด็กตื่นอยู่ตลอดเวลาที่ทำ การทดสอบ ผลการศึกษาพบว่ารูปร่างคลื่น MLR ที่พบในเด็ก ทั้ง 2 กลุ่ม แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ ประเภท ที่1 คลื่น Pa และ Pb มียอดแหลม เห็นชัดเจน, ประเภทที่2 คลื่นPa และPb กว้าง ระหว่าง คลื่นทั้งสองมีร่องเล็ก น้อย, ประเภทที่ 3 คลื่น Pa แหลมหรือกลมเห็นชัด ซึ่งอาจตามด้วยคลื่นNbที่ลึกหรือไม่มีก็ได้ และจะไม่ปรากฎ คลื่นPb จากการศึกษาพบว่ากลุ่มเด็กที่มีปัญหาการเรียนบกพร่องพบรูปร่างคลื่นMLRประเภทที่1มากที่สุด ในขณะ ที่กลุ่มเด็กปกติพบรูปร่างคลื่นMLR ประเภทที่ 2 มาก ส่วนการจัดแบ่งรูปแบบของคลื่นMLRที่ตรวจในเด็กอายุ 8 ปี สามารถทำ ได้ร้อยละ 66.67 และในเด็กอายุมากกว่า 8 ปีสามารถทำ ได้ร้อยละ100 ในการศึกษาไม่พบความแตกต่างทางสถิติของผลการตรวจการได้ยินเหนือระดับก้านสมอง (MLR)ของค่าเฉลี่ยเวลาในการเกิดคลื่นและค่าเฉลี่ยความสูงของคลื่นระหว่างเด็กปกติเปรียบเทียบกับเด็กที่มีปัญหา การเรียนบกพร่อง ในหูทั้ง 2ข้าง จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า 1. ความหลากหลายของรูปร่างคลื่น MLR เป็นผลเนื่องมาจากMLRมี แหล่งกำ เนิดคลื่นจากสมองหลายส่วน 2. มีความแตกต่างในการจัดแบ่งประเภทของรูปร่างคลื่นMLR 3. การใช้ parameterในการทดสอบที่แตกต่างจากการวิจัยอื่น ผลการศึกษานี้อาจสามารถใช้เป็นแนวทางในศึกษาการ ทดสอบ MLR เพื่อใช้ในการประเมินกลุ่มตัวอย่างอื่นหรือใช้พัฒนาการทดสอบMLR ต่อไป นอกจากนี้ควรใช้กลุ่ม ตัวอย่างที่มีจำ นวนมากขึ้นทั้ง 2 กลุ่ม อีกทั้งในการศึกษาครั้งต่อไปควรพิจารณาใช้ parameterอื่น ในการทดสอบ

Mahidol University

Address: NAKHON PATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Siriparn Sriwanyong

Role: Thesis Advisors

Created: 2003

Modified: 2553-02-24

Issued: 2010-01-05

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

ISBN: 9740439373

CallNumber: TH K16cm 2003

eng

DegreeName: Master of Science

Level: Master's Degree

Descipline: Communication Disorders

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	4136562.pdf	1.77 MB	43	2021-07-24 08:29:21

ใช้เวลา

0.253517 วินาที