Factors affecting family's capabilities on oral self-care and deciduous caries among pre-school children in Ubonratchathani province

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการดูแลตนเองด้านทันตสุขภาพของครอบครัวและการเกิดสภาวะโรคฟันน้ำนมผุในเด็กวัยก่อนเรียนจังหวัดอุบลราชธานี

Name: Kridsana Wuttisin

LCSH: Dental caries

LCSH: Family

LCSH: Oral medicine

LCSH: Preschool children

LCSH: Self-care, health

Abstract: This research was aimed at investigating factors effecting family’s perceivable capabilities on oral self-care and deciduous caries among pre-school children in Ubonratchathani The samples used included 685 families. Interview was used with the care-givers and oral health check-up was used with the pre-school children aged 3-6 years living together in the same families. The statistical analysis were descriptive and Multiple Regression Analysis. The research findings revealed that 1) the proportion of male and female preschool children was close with an average deciduous caries of 6.4 teeth per child. The state of oral hygiene was at medium level and their nutrition status was normal. The upper and lower incisor teeth and the lower molar teeth were decayed respectively. The oral hygiene and the nutrition status had relationship with deciduous caries 2) Most care-givers were female and mothers of children with elementary education. They were married and had home based occupation with oral health knowledge and attitude toward oral health care at a medium level. They had positive motivation on the prevention of deciduous caries. 3) The family aspect was mostly a nuclear one, with a monthly income mean of 4,550 baht. 4) The families received dental information from community, access to service in the community at the lowest level. 5) Family’s perceivable capability at a good level was brushing activity whereas that at a medium level was eating food that promoted better dental health and avoiding food that promoted caries, regular dental check-up, and overall capabilities. Family’s capability at the lowest level was preventing caries by fluoride use. 6) Factors affecting family’s capabilities on oral self-care included knowledge and attitude on dental health of care-givers, motivation toward oral self-care, oral health information support from community were significant at .01. The variables could collectively predict the families’ capabilities on oral self-care at 28.0% The recommendations of this research were that 1) the care-providers should be encouraged to have correct knowledge and attitude toward dental health and campaigns to have parents brush their children’s teeth should be launched. 2) the state should accommodate easy access to services of the public, especially primary level services, which the public could access easily as well as having information on better oral health for the community. Furthermore, communities should participate in oral care prevention in the child population by launching campaigns not to sell sweets which are detrimental to oral health in an attempt to increase oral self-care ability of the family and to make pre-school children caries-free.

Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการดูแลตนเองด้านทันตสุขภาพ ของครอบครัวและการเกิดสภาวะโรคฟันนํ้านมผุในเด็กวัยก่อนเรียนจังหวัดอุบลราชธานี จากตัวอย่างจำ นวน 685 ครอบครัว เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ผู้เลี้ยงดูเด็กและตรวจสภาวะทันตสุขภาพของเด็กวัยก่อนเรียน อายุ 3-6 ปีในครอบครัวเดียวกัน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่สถิติพรรณาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) เด็กวัยก่อนเรียนทั้งเพศชายและเพศหญิงมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน มีสภาวะฟันนํ้านมผุสูง โดยมีค่าเฉลี่ยฟันผุถอนอุด 6.4 ซี่ต่อคน สภาวะอนามัยช่องปากอยู่ในระดับปานกลาง ภาวะโภชนาการปกติ ฟัน นํ้านมผุมากในกลุ่มฟันหน้าบนรองลงมาเป็นกลุ่มฟันหน้าล่างและฟันกรามล่างและมีความสัมพันธ์กับสภาวะ อนามัยช่องปากและภาวะโภชนาการ 2) ผู้เลี้ยงดูเด็กเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย มีความเกี่ยวข้องกับเด็กคือเป็น บิดามารดา จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ลักษณะการประกอบอาชีพทำ งานในบ้าน สถานภาพสมรสคู่ มีความรู้ เกี่ยวกับทันตสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง มีทัศนคติต่อการดูแลทันตสุขภาพปานกลางและ มีแรงจูงใจในการดูแล ตนเองด้านทันตสุขภาพดี 3) ลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยว รายได้เฉลี่ย 4,550 บาทต่อเดือน มีสภาพการใช้ จ่ายพอกินพอใช้ 4) ครอบครัวได้รับการสนับสนุนข้อมูลข่าวสารด้านทันตสุขภาพจากชุมชนอยู่ในระดับตํ่าและ การเข้าถึงบริการตํ่า 5) ความสามารถในการดูแลตนเองด้านทันตสุขภาพโดยการรับรู้ของครอบครัวในภาพรวมอยู่ ในระดับปานกลางโดยความสามารถด้านกิจกรรมการแปรงฟันอยู่ในระดับดี ที่อยู่ในระดับปานกลางได้แก่ความ สามารถด้านการรับประทานอาหารที่ส่งเสริมทันตสุขภาพและหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำ ให้ฟันผุและการ ตรวจสุขภาพฟันของคนในครอบครัวอย่างสมํ่าเสมอ ส่วนด้านการป้องกันฟันผุโดยการใช้สารฟลูออไรด์อยู่ใน ระดับตํ่า 6) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการดูแลด้านทันตสุขภาพของครอบครัวอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติที่ ระดับ .01 ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับทันตสุขภาพ ทัศนคติเกี่ยวกับทันตสุขภาพ แรงจูงใจในการดูแลตนเองด้านทันต สุขภาพ การเข้าถึงบริการและการได้รับการสนับสนุนข้อมูลข่าวสารทันตสุขภาพจากชุมชน โดยตัวแปรทั้งหมด สามารถร่วมกันทำ นายความสามารถในการดูแลตนเองด้านทันตสุขภาพของครอบครัวในเชิงบวกได้ร้อยละ 28.0 ข้อเสนอแนะจากการวิจัยครั้งนี้คือ 1)ควรส่งเสริมความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับทันตสุขภาพให้ถูกต้องรวมถึง การรณรงค์ให้ผู้เลี้ยงดูเด็กได้แปรงฟันให้เด็กเล็กด้วยตนเอง 2) รัฐควรเร่งสนับสนุนการเข้าถึงการบริการของ ประชาชนโดยเฉพาะการให้บริการระดับปฐมภูมิที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายรวมถึงการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วม ในการดูแลป้องกันทันตสุขภาพของประชากรวัยเด็กโดยการรณรงค์ไม่ให้มีการขายขนมหวานที่เป็นผลเสียต่อ ทันตสุขภาพในชุมชนเพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถในการดูแลตนเองด้านทันตสุขภาพของครอบครัว

Mahidol University

Address: NAKHON PATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Supavan Phlainoi

Role: Thesis Advisors

Created: 2002

Modified: 2553-02-08

Issued: 2009-12-24

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

ISBN: 9740437087

CallNumber: TH K92fa 2002

eng

DegreeName: Master of Education

Level: Master's Degree

Descipline: Population Education

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	4037342.pdf	10.67 MB	455	2025-03-21 14:56:57

ใช้เวลา

0.284986 วินาที