การให้ความหมายของการเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อรับบทบาทเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง

The meaning of being family caregivers of cancer patients and the life-change in taking on the role of caregivers

Name: วิภา วิเสโส

ThaSH: มะเร็ง - - ผู้ป่วย - - การฟื้นฟูสมรรถภาพ

ThaSH: ผู้ป่วย - - การดูแล

Classification :.DDC: 610

Abstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อบรรยายการให้ความหมายของการเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตตามดการรับรู้ของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง นับตั้งแต่เริ่มรับรู้ว่าต้องเข้ารับบทบาทเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง จนกระทั่งถึงวันที่ให้ข้อมูลแก่ผู้วิจัย โดยการประยุกต์ใช้เทคนิคและระเบียบวิธีเชิงคุณภาพในการดำเนินการวิจัย นับจำนวนผู้ให้ข้อมูบได้ทั้งสิ้น 12 คน ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งให้ความหมายของการเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง 4 ความหมาย คือ เป็นโอกาสตอบแทนบุญคุณ เป็นผู้ที่ดูแลได้ดีกว่าคนที่ไม่ใช่ญาติ เป็นความสงสาร-ความเห็นใจ-ความเต็มใจที่จะให้การดูแล และเป็นหน้าที่ที่จะต้องดูแลสำหรับลักษณะการเปลียนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง นับตั้งแต่เริ่มรับรู้ว่าต้องเข้ารับบทบาทเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง พบว่ามี 5 ประเด็น ดังนี้1. รับบทบาทและภาระการดูแลกิจวัตรประจำวันแทนผู้ป่วย ทั้งที่บ้านและที่โรงพยาบาลโดยพบว่า ญาติผู้ดูแลมีวิธีจัดการกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว 3 วิธี คือ 1) ทำความเข้าใจ ปรับตัวรับบทบาทการเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง 2) เตรียมกาย เตรียมใจ และเตรียมความรู้ และ 3) ปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลลัพธ์ของการจัดการเปลี่ยนแปลง คือ มีความผูกพันและภาคภูมิใจตนเองเพิ่มขึ้น มีกำลังใจในการดำเนินชีวิต การดูแลผู้ป่วยต่อไป และทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจ2. ลืมสนใจตนเอง ไม่มีเวลาส่วนตัว ลืมอนาคต โดยพบว่า ญาติผู้ดูแลมีวิธีจัดการกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว 3 วิธี คือ 1) หยุดทบทวนสถานการณ์และกำหนดเป้าหมายของชีวิต 2) พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและ 3) จัดสรรเวลา และจัดหาคนอื่นมาช่วยดูแล ซึ่งผลลัพธ์ของการจัดการกับการเปลี่ยนแปลง คือ ได้บททวนสถานการณ์การเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งและชีวิตตนเอง มีเวลาส่วนตัวเพิ่มขึ้น3. วิตกกังวล และกลัวการสูญเสียผู้ป่วย โดยพบว่า ญาติผู้ดูแลมีวิธีการกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว 4 วิธี คือ 1) ทำความเข้าใจ และยอมรับสภาพความเจ็บป่วยของผู้ป่วย 2) หากิจกรรมอันทำเพื่อเบี่ยงเบนความวิตกกังวลที่มีอยู่ 3) คิดปลงกับการสูญเสียล่วงหน้า และ 4) ทำใจให้สบายซึ่งผลลัพธ์ของการจัดการกับการเปลี่ยนแปลง คือ ยอมรับสภาพความเจ็บป่วยของผู้ป่วย ยอมรับการสูญเสียที่จะเกิดขึ้น และผ่อนคลายความทุกข์-กังวลใจ4. สูญเสียทรัพย์ ต้องนำเงินมาใช้ และขาดรายได้ โดยพบว่า ญาติผู้ดูแลวิธีจัดการกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว 2 วิธี คือ 1) ประสานงานให้ผู้ป่วยได้ใช้สิทธิประโยชน์จากบัตรสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล หรือบัตรประกันสุขภาพ และ 2) แสวงหาความช่วยเหลือด้านการเงินจากญาติคนอื่น ซึ่งผลลัพธ์ของการจัดการกับการเปลี่ยนแปลง คือ ได้รับการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล5. เหน็ดเหนื่อยกายและหมดกำลังใจจากภาระการดูแล โดยพบว่า ญาติผู้ดูแลมีวิธีการจัดการกับการเปลื่ยนแปลงดังกล่าว 5 วิธี คือ 1) ระลึกถึงความ ประสบการณ์ที่ดีที่เคยทำร่วมกับผู้ป่วย 2) สร้างกำลังใจให้กับตนเอง 3) แสวงหากำลังใจจากญาติคนอื่น 4) พูดคุยกับญาติผู้ดูแลคนอื่นและ 5) ญาติผู้ดูแลและผู้ป่วยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ซึ่งผลลัพธ์ของการจัดการเปลี่ยนแปลง คือ เข้าใจ อภัย และเห็นใจผู้ป่วย มีกำลังใจ หายเหน็ดเหนื่อย และ ต้องการเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งต่อไปผู้วิจัยให้ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัยครั้งนี้ คือ จัดกิจกรรมให้ญาติผู้ดูแลได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความหมายของการเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยเน้นย้ำให้ตระหนักในการให้ความหมายของการเป็นญาติผู้ดูแลในทางบวก จัดกิจกรรมให้คำปรึกษาแก่ญาติผู้ดูแลในเรื่องการปรับตัวเพื่อรับบทบาทเป็นญาติผู้ดูแล ปรับปรุงรูปแบบการให้ข้อมูลและการฝึกทักษะที่ถูกต้องและเพียงพอแก่ญาติผู้ดูแล เพื่อสร้างความเข้าใจ ความั่นใจในการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ตลอดจนจัดกิจกรรมให้ญาติผู้ดูแลได้ระบายความรู้สึก และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตขณะที่ดำรงบทบาทญาติผู้ดูแล สนับสนุนให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวเข้าใจและเป็นแหล่งประโยชน์ของญาติผู้ดูแล แนะนำแหล่งประโยชน์ที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ญาติผู้ดูแลที่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย จัดสรรทรัพยากร รวมทั้งบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการพยาบาลญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งทั้งในโรงพยาบาลและชุมชน เพื่อให้การดูแลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง จัดทำโครงการรับฝากดูแลผู้ป่วยมะเร็ง จัดทำโครงการรับฝากดูแลผู้ป่วยในตอนกลางวัน มีสวัสดิการเป็นเงินเดือนให้ญาติผู้ดูแล หรือมีระบบอาสาสมัครช่วยดูแลผู้ป่วยที่บ้าน

Abstract: The purpose of this study is to describe the meanng of being family-caregivers of cancer patients and life-change in taking on the role of family-caregivers based on caregivers' perceptions. Since they were aware of taking on the role of caregivers until the moment that they were the informants by applying qualitative research method based on theoretical sampling of 12 informants.The research result showed that the family-caregivers had described the meaning of being family-caregivers cancer paticents in 4 dimensions 1) it was the time to return the favor to the patients, 2) they could take care of the patients better than somebody else who was not the members of the family, 3) it was the sympathy, understanding and willingness in taking care of the patients, and 4) it was their responsibility.The life-change in taking on the role family-caregivers, since the time they had become aware of taking on the role of family-caregivers, could be put into 5 categories as follows:1. Taking on the role family-caregivers and taking care of the patients both at home and hospital. It was found that the family-caregivers could cope with these changes by 3 strategies 1) trying to understand and adapt themselves in being family-caregivers, 2) preparing their physical, mind and knowledge, and 3) taking care of the patients continuously. By these three strategies, the results showed that the family-caregivers had closer relationship with the patients and were proud of themselves. They had enhanced their will-power for ongoing their living and continuous caring for the patients, as well as enhancing parients' s will-power.2. Lacking of self-care, privacy, and future. It was found that the family-caregivers could cope with these changes by 3 strategies 1) reviewing and aiming the target of their lives, 2) taking care of their health, and 3) managing their time and having someone else taking care of the patients. By these three strategies, the result showed that the family-caregivers had reviewed the situation of being family-caregivers lives, as well as their more private time.3. Anxiety and fear of losing the patients. It was found that the family-caregivers could cope with these changes by 4 strategies 1) understanding and accepting the illness, 2) distracting from the anxiety by replacing other activities, 3) accepting the losing of patients in the future, and 4) relaxing their mind. By these four strategies, the result showed that the family-caregivers accepted the illness and accepted the loss before facing with it, as well as relived from the anxiety. 4. Losing the money, collected money and income. It was found that the family-caregivers could cope with these changes by 2 strategies 1) coordinating with the patients in using the right from health service obtained by health welfare card or health insurance card, and 2) finding the money support from other relatives. By these two strategies, the result whowed that the family-caregivers received the money support.5. Physical and psychological exhaustion from overload of activities. It was found that the family-caregivers could cope with these changes by 5 strategies 1) recalling the goodness of patients and recalling the impressed experience that they had done with the patients, 2) building will-power for themselves, 3) seeking will-power from other relatives, 4) consulting with other family-caregivers, and 5) mutually exchanging and enhancing the will-power. By these five strategies, the result showed that the family-caregivers had the understanding, foregiveness and sympathy for the patients and they wanted to be family-caregivers of cancer patients contunuously. The researcher suggested that the nursing professionals and others should 1) hold up the activities that family-caregivers would have the opportunity to exchange their meaning of being family-caregivers by emphasizing on opsitive meaning, 2) provide the consultant on the adaptation in taking the role of family-caregivers, 3) improve the information giving style and skills of caring to build the understanding and confidence of the family-caregivers, 4) hold up the activities that the family-caregivers would have expressed their feeling and help them to cope with the life-change effectively, 5) encourage the other members of the family to understand the family-caregivers in being the social support of family-caregivers, 6) introduce the financial sources to the family-caregivers that was faced with financial problem, and finally, provide policy on family-caregivers care systematically by providing nursing professional the was an expert on family-caregivers of cancer patients nursing especially both in hospital and community, provide a care-giving project for help the family-caregivers to take care of the patients during the daytime, and provide the monthly payment for the family-caregivers or provide care-giving volunteers in taking care of the patients at home.

มหาวิทยาลัยบูรพา. สำนักหอสมุด

Address: ชลบุรี (Chonburi)

Email: buulibrary@buu.ac.th

Name: กนกนุช ชื่นเลิศสกุล

Role: อาจารย์ที่ปรึกษา

Name: สายพิณ เกษมกิจวัฒนา

Role: กรรมการ

Created: 2545

Issued: 2549-04-08

Modified: 2550-01-20

วิทยานิพนธ์/Thesis

ISBN: 9746165714

CallNumber: 610.73698 ว645ก

tha

DegreeName: พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: การพยาบาลผู้ใหญ่

Grantor: มหาวิทยาลัยบูรพา

©copyrights มหาวิทยาลัยบูรพา

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	title.pdf	369.55 KB	139	2021-10-20 09:59:53
2	chapter1.pdf	296.49 KB	148	2021-01-23 10:04:30
3	chapter2.pdf	942.74 KB	174	2021-10-13 09:12:39
4	chapter3.pdf	539.23 KB	113	2019-12-18 13:29:06
5	chapter4.pdf	2.06 MB	143	2019-12-18 13:27:48
6	chapter5.pdf	1.77 MB	115	2019-12-18 13:29:13
7	bibliography.pdf	351.68 KB	86	2019-12-18 13:30:31
8	appendix.pdf	250.04 KB	101	2019-12-18 13:29:49

ใช้เวลา

0.027915 วินาที