การศึกษาพัฒนาการทางการเรียนคณิตศาสตร์และความเข้าใจในการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้ค่าความยากในแนวทฤษฎีดั้งเดิมค่าความยาก ค่าระดับความสามารถของผู้สอบ และเส้นโค้งสารสนเทศของข้อสอบตามแนวทฤษฎีการตอบสนองต่อข้อสอบ

A Study of Students' Learning Progress in Mathematics and Reading Comprehension from Grade 3 to Grade 6 by using p-value from Classical Test Theory ; b O and Test Information Curves from Item Response Theory

Name: พิศิษฐ ตัณฑวณิช

Organization : สถาบันราชภัฏสุรินทร์. โปรแกรมทดสอบและวิจัยการศึกษา

keyword: คณิตศาสตร์

Classification :.DDC: 372.7

; การอ่าน

; ค่าความยาก

Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของค่าความยากตามแนวทฤษฎีดั้งเดิม และค่าความยากของข้อสอบตามแนวทฤษฎีการตอบสนองต่อข้อสอบ เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของค่าคะแนนที่สอบได้และการเปลี่ยนแปลงของค่าระดับความสามารถ ของนักเรียนในแบบสอบคณิตศาสตร์และความเข้าใจในการอ่านที่ใช้สอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 4 และ 5 ในปีการศึกษา 2542 และวัดซ้ำอีกครั้งในนักเรียนกลุ่มเดิมในปีการศึกษา 2543 รวมทั้งศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างความยากในแนวทฤษฎีดั้งเดิม และค่าความยากในแนวทฤษฎีการตอบสนองต่อข้อสอบความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนที่ได้จากการสอบและค่าระดับความสามารถ ปละศึกษาการเปลี่ยนแปลงของค่าสารสนเทศประจำข้อสอบตามแนวทฤษฎีการตอบสนองต่อข้อสอบ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยแบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ 3 ฉบับย่อย และแบบสอบความเข้าใจในการอ่านไทย 2 ฉบับย่อย โดยแบบสอบเหล่านี้ได้จากการที่ผู้วิจัยได้พัฒนาจนมีคุณภาพดีจากงานวิจัยที่มีการดำเนินการก่อนหน้านี้ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียนซึ่งได้จากการสุ่มโรงเรียน 8 โรงเรียนในจังหวัดสุรินทร์ โดยประกอบด้วยนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ปีที่ 4 และปีที่ 5 จำนวน 641 , 600 และ 601 คน ตามลำดับ นักเรียนกลุ่มนี้ได้รับการวัดซ้ำโดยแบบสอบชุดเดียวกันอีกครั้งในปีการศึกษา 2543 โดยทิ้งช่วงห่างกัน 12 เดือนเต็ม ผลการวิจัย จากการนำเสนอที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษา 2542 และ 2543 มาเทียบกัน พบว่า ค่าความยากเฉลี่ยของข้อสอบในแนวทฤษฎีดั้งเดิมของแบบสอบย่อยทุกฉบับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 ค่าความยากของข้อสอบในแนวทฤษฎีการตอบสนองต่อข้อสอบเฉลี่ยในแบบสอบย่อยทุกฉบับลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ค่าเฉลี่ยของผลต่างของคะแนนของนักเรียน และค่าคะแนนเฉลี่ยของผลต่างของระดับความสามารถของนักเรียนในแต่ละระกดับชั้น ในแต่ละรายวิชา ในปีการศึกษา 2543 เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เมื่อเทียบกับผลที่ได้ในปีการศึกษา 2542 และพบว่า ค่าความยากของข้อสอบในแนวทฤษฎีดั้งเดิมและค่าความยากของข้อสอบตามแนวทฤษฎีการตอบสนองต่อข้อสอบในแบบสอบแต่ละฉบับย่อยมีความสัมพันธ์กันในทางลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และคะแนนที่นักเรียนทำได้ในแบบสอบแต่ละฉบับย่อยกับค่าระดับความสามารถของผู้สอบตามแนวทฤษฎีการตอบสนองต่อข้อสอบในระดับชั้นเรียนหนึ่งๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จุดค่าระดับความสามารถของผู้สอบที่ทำแบบสอบย่อยแต่ละฉบับแล้วให้ค่าสารสนเทศประจำแบบสอบสูงสุด ลดลง 0.50 หน่วยความสามารถเมื่อช่วงการทดสอบผ่านไป 12 เดือนเต็ม ทั้งนี้ผลจากการวิจัยมีข้อน่าสังเกตสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ 1. คะแนนที่นักเรียนทำได้จากแบบสอบย่อยแต่ละฉบับมีความแตกต่างกันสูงมาก กล่าวคือมีทั้งนักเรียนที่แทบทำคะแนนไม่ได้เลย เรื่อยไปจนถึงนักเรียนคนที่ทำคะแนนได้เต็ม 2. อัตราการเพิ่มขึ้นของคะแนนของนักเรียนในแต่ละระดับชั้นเรียนในแต่ละรายวิชา โดยเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ยังไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ

Abstract: The objectives of this research were as following : To compare the changing of “ p ” value in Classical Test Theory and the changing of “ b ” value in item Response Theory in each subtest, to compare the changing of achievement scores and the changing of scores of students form grade 3 to grade 6 from 1999 academic year to 2000 academic year in each subtest. To find correlation coefficients between “ p ” value and “ b ” value of items in each subtest taken by students from grade 3 to grade 6 and to find correlation coefficients between achievement score and scores of students in each subtest taken by students from grade 3 to grade 6. And to draw test information curve in each subtest taken by students in each level in 1999 and 2000 academic year. 3 mathematics subtests and 2 Thai Reading Comprehension subtests were used collected data. In each level, students were asked to do 2 subtests, one was Mathematics, another was Thai reading Comprehension. All 5 subtests were developed from previous research and all items in each subtests had good properties. Sample consisted of 641 students studying in grade 3 in 1999 academic year, 600 students studying in grade 4 in 1999 academic year, 601 students studying in grade 5 in 1999 academic year. All of these students were in Surin Province. After one year had passed all 1842 students were asked to do the same subtest again. The results from this study were as followings : The average of “ p ” value in each subtest taken by each level of students in 2000 academic year was statistically higher than the average of “ p ” value in each subtest taken by each level of students in 1999 academic year at .01 level of significant. The average of “ b ” value in each subtest taken by each level of students in 2000 academic year was statistically lower than the average of “ b ” value in each subtest taken by each level of the students in 1999 academic year at .01 level of significant. The average achievement score and average score in each subtest taken by each level of students in 2000 academic year was statistically higher than the same kinds of average scores taken by the same group of students in 1999 academic year. The “ p ” value and “ b ” value in each subtest taken by students in each level had negative correlation coefficient at .01 level of statistic significant. The achievement score and score of students in each subtest and in each level of students had positive correlation coefficient at .01 level of statistical significant. The level in each subtest in each level of students that yielded the highest in formation curve in 2000 academic year was 0.50 level lower than the level that yielded the highest in formation curve in 1999 academic year The most important notices form this research were that in each grade level the achievement score of the students had very high dispersion, and the average gain score of students in each level and in each subtest was low and was not satisfied.

มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

Address: สุรินทร์

Name: สถาบันราชภัฏสุรินทร์

Role: ผูให้ทุนวิจัย

Created: 2543

Issued: 2548-08-26

งานวิจัย/Research report

application/pdf

CallNumber: 372.7 พ238ก

tha

Grantor: มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	Title page.pdf	38.5 KB	194	2025-07-08 02:02:46
2	Abstract.pdf	183.69 KB	237	2025-06-01 13:42:32
3	Content.pdf	242.24 KB	178	2025-07-08 02:03:13
4	Chapter1.pdf	450.27 KB	284	2025-03-17 19:04:26
5	Chapter2.pdf	848.61 KB	264	2025-03-17 19:05:20
6	Chapter3.pdf	410.06 KB	211	2025-07-08 02:03:38
7	Chapter4.pdf	1.03 MB	186	2025-03-17 19:06:19
8	Chapter5.pdf	782.55 KB	164	2025-07-08 02:02:58
9	Bibliography.pdf	186.15 KB	132	2025-05-21 11:43:56

ใช้เวลา

0.024436 วินาที