Opinions of medical teachers, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, about research on medical education

Name: Boonnart Laisnitsarekul

Name: Kitpramuk Tantayaporn

Name: Anan Srikiatkhachorn

Name: Nutjaree Pholwan

LCSH: Chulalongkorn University. Faculty of Medicine

LCSH: Medical sciences -- Research -- Thailand

Abstract: Objective : This study is aimed to determine opinions of medical teachers of the Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, about research on medical education.Design: Descriptive study.Methods: A questionnaire was constructed and distributed to 375 instructors of the Faculty Of Medicine, Chulalongkorn University in February 2002. They returned 161 Questionnaires (42.93%) by the end of the month. The data were analyzed by SPSS for Windows version 8.0 and presented in frequency and percentage.Results: Among the medical teachers, 100 were male (62.11%) and 61 female (37.89%).There were 42 instructors (26.09%) 43 assistant professors (26.71%), 65 associates professors (40.37%) and 11 professors (6.83%). The 44 (27.33%) medical teachers were from pre-clinic; 116 (72.05%) from clinic; and 1 (0.62%) did not identify themselves. 47 (29.19%) of the medical teachers used to read journals on medical education such as Academic Medicine and Medical Education; and 88 (54.66%) of the medical teachers thought that research on medical education is a kind of research on medical science. Most of them (95.65%) said that research on medical education is necessary for Thailand because the results can be applied to improve both the teaching and learning processes and curriculum development. When asked who should run the research, 108 (67.08%) of the medical teachers suggested those who are interested in medical education. The main obstruction is that medical teachers themselves are not interested to do the research. Given that the research is a part of academic promotion in the faculty, the number of research papers will surely increase. One of the best ways to promote research on medical education is to count it as workload legible for academic promotion. Other alternatives are namely: providing training course on research on medical education and increasing the reward.Conclusion: Most medical teachers of the Faculty of Medicine, Chulalongkorn University thought that research on medical education is valuable for both the improvement of teachingand learning processes as well as curriculum development. Another possibility that promotes research on medical education is to count it as workload and a factor influencing academic promotion. Since the number of medical teachers who returned the questionnaire were only 43%, the result cannot be used to represent the opinion of the whole body of medical teachers of the Faculty. However, the research should be taken as a pilot study, a complete study should be carried out again in the future.

Abstract: วัตถุประสงค์: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคณาจารย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีต่อการวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษารูปแบบการวิจัย: การศึกษาเชิงพรรณนาวิธีการศึกษา: ผู้วิจัยได้สร้างแบบสอบถามและส่งให้คณาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 375 คน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2545 และได้รับกลับคืนเมื่อถึงวันสิ้นเดือน จำนวน 161 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 42.93 ข้อมูลจากแบบสอบถามนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม SPSS for Windows เวอร์ชั่น 8.0 หาค่าสถิติในรูปความถี่ และร้อยละผลการศึกษา: คณาจารย์ที่ตอบแบบสอบถาม เป็นเพศชายจำนวน 100 คน คิดเป็นร้อยละ 62.11 เป็นเพศหญิง จำนวน 61 คน คิดเป็นร้อยละ37.89 ดำรงตำแหน่งทางวิชาการเป็นอาจารย์ 42 คนคิดเป็นร้อยละ 26.09 เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ 43 คน คิดเป็นร้อยละ 26.71 เป็นรองศาสตราจารย์ 65 คน คิดเป็นร้อยละ 40.37 และเป็นศาสตราจารย์ 11 คน คิดเป็นร้อยละ 6.83 คณาจารย์จำนวน 44 คน หรือร้อยละ 27.33 มาจาก ภาควิชาทางปรีคลินิก คณาจารย์จำนวน 116 คน หรือร้อยละ 72.05 มากจากภาควิชาทางคลินิก มีอาจารย์ 1 คนที่ไม่ได้ระบุว่ามาจากภาควิชาใด คณาจารย์ จำนวน 47 คน หรือร้อยละ 29.19 เคยอ่านวารสารวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษา เช่น Academic Medicine และ Medical Education. คณาจารย์จำนวน 88 คน หรือร้อยละ54.66 คิดว่าการวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษาเป็นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ชนิดหนึ่ง คณาจารย์ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 95.65) เห็นว่าการวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศไทย เนื่องจากผลงานวิจัยสามารถนำมาปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาหลักสูตร เมื่อถามคำถามว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบ ในการทำวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษา คณาจารย์ จำนวน 108 คน หรือร้อยละ 67.08 แนะนำว่าควรเป็นผู้ที่สนใจ ในงานด้านแพทยศาสตรศึกษา อุปสรรคหลักคือคณาจารย์ไม่สนใจ ที่จะทำวิจัยชนิดนี้ แต่ถ้างานวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษา สามารถนำไปขอตำแหน่งทางวิชาการ เชื่อว่าจำนวนรายงานการวิจัยจะเพิ่มมากขึ้น วิธีที่ดีที่สุดในการส่งเสริมการวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษาคือการยอมรับงานวิจัย ด้านแพทยศาสตรศึกษาเป็นองค์ประกอบหนึ่งในกระบวนการคิดภาระงานหรือขอตำแหน่งทางวิชาการ สำหรับวิธีอื่นๆ ได้แก่ การจัดหลักสูตรอบรมความรู้ทางการวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษา และการให้รางวัลสรุป: คณาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนใจคิดว่างานวิจัยด้านแพทยศาสตร ศึกษา มีคุณค่าสามารถนำไปใช้ปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาหลักสูตร วิธีหนึ่งที่จะส่งเสริมให้มีการทำวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษาเพิ่มมากขึ้นคือการยอมรับให้งานวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษา เป็นองค์ประกอบหนึ่งในกระบวนการคิดภาระงาน หรือขอตำแหน่งทางวิชาการ เนื่องจากจำนวนคณาจารย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเพียงร้อยละ 43 ที่ตอบแบบสอบถาม ดังนั้นผลการวิจัยจึงไม่สามารถสรุปพาดพิง ว่าเป็นความคิดเห็นส่วนใหญ่ ของคณาจารย์ทั้งหมด อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้อาจจัดเป็นการศึกษานำร่องสมควรที่จะได้มีการศึกษาความคิดเห็นของคณาจารย์ คณะแพทยศาสตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีต่องานวิจัยด้านแพทยศาสตรศึกษาต่อไปในอนาคต

Chulalongkorn University

Address: กรุงเทพมหานคร (Bangkok)

Email: cuir@car.chula.ac.th

Created: 2002

Issued: 2005-09-26

Modified: 2006-05-19

บทความ/Article

URL: http://thailis-db.car.chula.ac.th/CU_DC/Journal/JournalAug2005/CMJ(dec024).pdf

ISBN: 0125-6483

BibliograpyCitation : จุฬาลงกรณ์เวชสาร. ปีที่ 46, ฉบับที่ 12 (ธ.ค. 2545), หน้า 975-984

eng

Thailand

©copyrights Chulalongkorn University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	CMJ(dec024).pdf	1.87 MB	50	2024-01-15 16:01:35

ใช้เวลา

0.020294 วินาที