การศึกษาหลักธรรมและการเสริมสร้างกิจกรรมการอยู่ร่วมกันของนักเรียน ที่นับถือพระพุทธศาสนาและคริสตศาสนา

Name: จินตนา บุตรกระวี

keyword: หลักธรรม

; การเสริมสร้างกิจกรรม

; คริสตศาสนา

Abstract: การศึกษาหลักธรรมและการเสริมสร้างกิจกรรมการอยู่ร่วมกันของนักเรียนที่นับถือพระพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนามีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ (1) เพื่อศึกษาหลักธรรมการอยู่ร่วมกันในทางพระพุทธศาสนา (2) เพื่อศึกษาหลักธรรมการอยู่ร่วมกันในคริสต์ศาสนา และ (3) เพื่อศึกษาการเสริมสร้างกิจกรรมการอยู่ร่วมกันของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ วิทยานิพนธ์เรื่องนี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร และเชิงสำรวจ กลุ่มประชากรคือนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์จำนวน 394 คน การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามความคิดเห็น และแบบสัมภาษณ์ผู้บริหารจำนวน 5 คน ครูผู้สอนจำนวน 13 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือการแจกแจงความถี่หาค่าร้อยละ หาค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่าm1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามรวมจำนวนทั้งสิ้น 394 คน เป็นหญิงจำนวน 233 คน คิดเป็นร้อยละ 56.60 เป็นชายจำนวน 171 คน คิดเป็นร้อยละ 43.40m2)ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันของนักเรียนที่นับถือพระพุทธศาสนาและคริสตศาสนาโดยมีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวโดยการหาค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) พบว่าโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยระดับมากที่สุดได้แก่ ด้านความกตัญญูกตเวที (x̄= 4.31) และด้านความรักความสามัคคี (x̄= 4.33) ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านความมีระเบียบวินัย (x̄ = 4.05) ด้านความสนใจใฝ่รู้ (x̄ = 3.72) ด้านความซื่อสัตย์ (x̄ = 4.05) ด้านความประหยัด (x̄ = 3.88) ด้านความเสียสละ (x̄ = 4.21) ด้านความรับผิดชอบ (x̄ = 3.77) ตามลำดับ3) ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบการปลูกฝังศีลธรรมและคุณธรรมนักเรียนโรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ จำแนกตามอาชีพผู้ปกครอง บุคคลที่เป็นแบบอย่างด้านศีลธรรม คุณธรรม โดยภาพรวมสรุปผลได้ดังนีm3.1) อาชีพผู้ปกครอง ได้แก่ เป็นเจ้าของกิจการ จำนวน 132 คน คิดเป็นร้อยละ 33.50 อาชีพอื่นๆ (พนักงานบริษัท, พนักงานรัฐวิสาหกิจ, ครูเอกชน) จำนวน 115 คน คิดเป็นร้อยละ 29.19 รับจ้างทั่วไป จำนวน 90 คน คิดเป็นร้อยละ 22.84 รับราชการ จำนวน 54 คน คิดเป็นร้อยละ 13.71 เกษตรกร จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 0.78m3.2) จำแนกตามบุคคลที่เป็นแบบอย่างด้านศีลธรรมและคุณธรรม ได้แก่ บิดามารดาจำนวน 231 คน คิดเป็นร้อยละ 58.63 ครู จำนวน 102 คน คิดเป็นร้อยละ 25.89 ปู่ย่า ตายาย จำนวน 49 คน คิดเป็นร้อยละ 12.44 บุคคลอื่นๆ จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 1.01 ดารานักร้อง จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 1.78 เพื่อน จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 0.25 การปลูกฝังศีลธรรมคุณธรรมให้กับนักเรียนที่นับถือพระพุทธศาสนาและนักเรียนที่นับถือคริสตศาสนา มีทั้งหมด 10 ด้าน ด้านที่ได้คะแนนสูงที่สุด ได้แก่ ด้านความกตัญญูกตเวที ด้านที่ได้คะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านความสนใจใฝ่รู้ ครูจะต้องดูแลเอาใจใส่ให้นักเรียนเป็นผู้สนใจติดตามข่าวสารบ้านเมือง เหตุการณ์ความเป็นไปต่างๆ ภายในประเทศ และสังคมรอบข้างมากขึ้น ซึ่งครูจะต้องเป็นผู้ช่วยดูแลนักเรียนได้มาก เพราะผู้ปกครองมีอาชีพต่างๆ อาจจะมีเวลาให้ความรู้แก่บุตรได้ไม่เพียงพอ อาชีพที่ผู้ปกครองมีมากที่สุด คือ เป็นเจ้าของกิจการต่างๆ ส่วนมากมีธุรกิจเป็นของตนเอง อาชีพที่มีน้อยที่สุด คือ อาชีพเกษตรกร ดังนั้นครูจึงต้องทำหน้าที่อบรมสั่งสอนนักเรียนเพิ่มมากขึ้น และผู้ที่จะเป็นแบบอย่างให้นักเรียนในด้านศีลธรรมคุณธรรมก็ได้แก่ บิดา มารดา ซึ่งมีคะแนนสูงสุด เพื่อนมีอิทธิพลและบทบาทน้อยที่สุด การจัดกิจกรรมต่างๆ ให้นักเรียนที่นับถือพระพุทธศาสนาและนับถือคริสตศาสนาได้ทำร่วมกัน ทำให้ทุกคนเกิดความรักความสามัคคี มีความเสียสละ รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข

Abstract: This thesis is a study of the doctrinal prin ciples and promoting the activities of living together by the Buddhist and the Christian students. There are 3 objectives namely, 1) to study of the doctrinal principles of living together in B uddhism, 2) to study of the doctrinal principles of living together in Chritinity, and 3) to study of the promoting of the activities living together of the final secondary students at Pramandanijjanukroah School. This thesis is the documemtary and servey research. The 394 the final secondary students at Pramandanijjanukroah School are the exemplary group. The collection of data is the questionnares and interview from 5 excutives and 13 teachers. The frequency distribution, the percentage, the mean and the standard deviation are used in this study From the result of the study, it is found tha 1. From general information from 394 questionnaire respondents, it is found that 223 people were female and 171 people were male at the percentage of 56.60 and 43.40 respectively.2. The result of the data analysis relati ng to learning together of both the Buddhist and the Christian students who trust in the religious principles with mean and standard deviation showed that the highest levels was gratitude (x̄ = 4.31) and unity ( x̄ = 4.33) ; high level was discipline ( x̄ = 4.05), knowledge seeking ( x̄ = 3.72), honesty ( x̄ = 4.05), economy ( x̄ = 3.88),sacrifice ( x̄ = 4.21), and responsibility ( x̄ = 3.77), respectively. 3. The comparison analysis of building up morality of the students classified according to parents’ occupation and ethical model found that 3.1 By parents’ occupation : 132 the business owners are at the percentage of 33.50, the 25 employees are at the percentage of 22.84, 15 the government officers are at the percentage of 13.71, 1 the farmer is at the percentage of 0.76 and 115 those of other occupations (company officers, state enterprisofficers, teachers etc.) are at the percentage of 29.19.3.2 By ethical models classification : 231 the parents are at the percentage of 58.63, 102 the teacher are at the percentage of 25.89, 49 the grandparents are at the percentage of 12.44, 4 other people are at the percentage of 1.01, 7 stars and singers are at the percentage of 1.78 and one friend is at the percentage of 0.25. There were 10 areas of teaching ethics a nd morals to both Buddhist and Christian students. The area that gaired the highest score was gratitude compared to the lowest area which was knowledge seeking. Hence, teachers should suppervise students to follow current events.Most parants were too busy and did not have e nough time to teach their children. There were many occupational types of parents. Bussiness owner was the career most parents had while farmer was the least. Therefore, teachers shoul d teach the students more. Regarding the ethical model, parents gained the highest score compared to friends who played the least role organizing different activities for both Buddhist and Christian students could build up unity and collabaration. Students learned to sacrifice and he lped one another. They could work together happily.

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ส่วนหอสมุดกลาง

Address: พระนครศรีอยุธยา

Email: library@mcu.ac.th

Name: พระสุธีธรรมานุวัตร

Role: อาจารย์ที่ปรึกษา

Name: พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสฺสี

Role: อาจารย์ที่ปรึกษา

Name: ประพันธ์ ศุภษร

Role: อาจารย์ที่ปรึกษา

Created: 2555

Modified: 2568-08-28

Issued: 2568-08-28

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

tha

DegreeName: พุทธศาสตรมหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: สาขาวิชาพระพุทธศาสนา

Grantor: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

©copyrights มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	จินตนา บุตรกระวี.pdf	1.59 MB

ใช้เวลา

0.021981 วินาที