การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของระบบเฝ้าระวังและสื่อสารความเสี่ยงมลพิษทางอากาศในตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
Health impact assessment of air pollution surveillance and risk communication system in Wiang Sub-district, Thoeng District, Chiang Rai Province
Abstract:
งานวิจัยนี้เป็นการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของระบบเฝ้าระวังและสื่อสารความเสี่ยงมลพิษทางอากาศในตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed-Method) ภายใต้กรอบแนวทางการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (Health Impact Assessment: HIA) ใน 4 ขั้นตอนหลัก คือ การกลั่นกรอง การกำหนดขอบเขต การประเมินผลกระทบ และการทบทวนร่างรายงาน โดยเป็นการประเมินแบบเร่งด่วน (Rapid HIA) และแบบมองไปพร้อมกับการดำเนินการ (Concurrent HIA) จากการกลั่นกรองความจำเป็นในการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (Screening) พบว่าโครงการมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชนในระดับชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และข้อมูลจากเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและฐานข้อมูลโรงพยาบาลเทิงสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ผลกระทบได้ทันที แม้จะมีข้อจำกัดด้านระยะเวลาและงบประมาณ จึงยังสามารถดำเนินการประเมินในระดับเร่งด่วนเพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงระบบเฝ้าระวังและสื่อสารความเสี่ยงมลพิษทางอากาศ รวมถึงการป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพได้อย่างทันท่วงที ในขั้นตอนการกำหนดขอบเขตการศึกษา (Scoping) มุ่งเน้นการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพจากระบบเฝ้าระวังและสื่อสารความเสี่ยงมลพิษทางอากาศในกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ที่เข้ารับบริการใน โรงพยาบาลเทิง (รหัส ICD-10 ที่ขึ้นต้นด้วย J44 ทั้งหมด ยกเว้น J44.2) โดยใช้ข้อมูลคุณภาพอากาศจากเครื่องวัดคุณภาพอากาศแบบต้นทุนต่ำ (Low-Cost Air Sensor) ของโรงพยาบาลเทิง ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 วิธีการศึกษาใช้ระบาดวิทยา แบบ Case-Crossover Design ในส่วนของผลการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (Assessing) พบว่า ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 มีความผันแปรตามฤดูกาล โดยมีค่าความเข้มข้นสูงสุดในช่วงต้นปี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเผาในที่โล่งและสภาพอากาศที่เอื้อต่อการสะสมของมลพิษ ในขณะที่ช่วงกลางปีค่าฝุ่นละออง PM2.5 ลดลงซึ่งสัมพันธ์กับช่วงฤดูฝน แนวโน้มของจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) มักจะเพิ่มสูงขึ้นตามหลัง หรือเกิดขึ้นพร้อมกันกับการที่ค่าฝุ่นละออง PM2.5 เพิ่มสูงขึ้น การวิเคราะห์ทางสถิติยังเผยให้เห็นความสัมพันธ์เชิงลบอย่างมีนัยสำคัญระหว่างค่าฝุ่นละออง PM2.5 กับอุณหภูมิ (r = -0.357, p-value =0.001) และความชื้นสัมพัทธ์ (r = -0.587, p-value =0.001) ซึ่งชี้ว่าปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยามีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าฝุ่นละอองในพื้นที่ศึกษา อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ด้วย Conditional Logistic Regression ในช่วง Lag 0-7 วัน ไม่พบความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างค่าฝุ่นละออง PM2.5 กับการป่วยด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ในระยะสั้น แม้ว่าค่า Odds Ratio จะเข้าใกล้ 1 และช่วงความเชื่อมั่น 95% ครอบคลุมค่า 1 ในทุก Lag แต่ก็พบแนวโน้มที่จะมีผลกระทบที่ Lag 2 วัน (p-value = 0.098) และ Lag 4 วัน (p-value = 0.057) ซึ่งค่า p-value เข้าใกล้ระดับที่มีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และจากการจัดเวทีคืนข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 70 คน พบว่าปัญหาหลักของมลพิษทางอากาศในพื้นที่มาจากแหล่งกำเนิด เช่น การเผาในที่โล่ง ไฟป่า และหมอกควันข้ามพรมแดน ประชาชนบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ยังขาดการเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันตนเอง และระบบแจ้งเตือนคุณภาพอากาศยังไม่ทั่วถึง ไม่เป็นปัจจุบัน ทำให้กลุ่มเปราะบางขาดการเข้าถึงข้อมูล นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนยังขาดความรู้และพฤติกรรมในการป้องกันตนเอง รวมถึงขาดการบูรณาการข้อมูลและการจัดการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลกระทบด้านสุขภาพโดยตรงต่อประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ และยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของครัวเรือนจากการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน รวมถึงกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการทำงาน โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องอยู่กลางแจ้ง ข้อเสนอแนะที่ได้รับมีความหลากหลายและครอบคลุม ตั้งแต่การสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกัน (เช่น หน้ากาก N95, เครื่องฟอกอากาศ, ห้องปลอดฝุ่น) ให้แก่กลุ่มเปราะบาง การพัฒนาระบบแจ้งเตือนคุณภาพอากาศให้ครอบคลุมและเข้าถึงง่ายผ่านหลากหลายช่องทาง การส่งเสริมการให้ความรู้และสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยให้ผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นแกนกลาง การลดต้นเหตุของมลพิษ เช่น การส่งเสริมการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรโดยไม่เผา และการบูรณาการข้อมูลเข้าสู่แผนสุขภาพตำบล รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณและ แผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉินระดับท้องถิ่น การบูรณาการข้อมูลและข้อเสนอแนะเหล่านี้เข้าสู่แผนสุขภาพตำบลจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาไม่กระจัดกระจายและสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ผลการศึกษาที่กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ ฝุ่นละออง PM2.5 ยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อสุขภาพประชาชนในตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ระบบเฝ้าระวังและสื่อสารความเสี่ยงมลพิษทางอากาศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรายงานความเสี่ยงและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนตระหนักและสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ การศึกษาครั้งนี้มีข้อจำกัดด้านระยะเวลาการศึกษาที่สั้นและปัจจัยร่วมอื่น ๆ ที่ไม่ได้วิเคราะห์เชิงลึก แต่ได้ให้ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่มีคุณค่าสำหรับการวางแผนและดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สำนักหอสมุด
Email:
cmulibref@cmu.ac.th
©copyrights มหาวิทยาลัยเชียงใหม่