ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับทักษะการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวในเขตกรุงเทพมหานคร
 
    
    The factor related to nurses communication skill in providing care for patients at the end of life and their families in Bangkok
 			  
			  
    
    Abstract:
     การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์ (Descriptive correlational research design) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัว 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายกับการอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ประสบการณ์การดูแลบุคคลในครอบครัวที่เจ็บป่วยระยะท้าย ประสบการณ์การมีส่วนร่วมในการประชุมครอบครัว ความรู้ในการสื่อสารเพื่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัว และทัศนคติในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวอย่างน้อย 1 ราย ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลสังกัดสํานักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร จำนวน 8 แห่ง และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร จำนวน 1 แห่ง รวมทั้งสิ้น 9 แห่ง จํานวน 165 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนพฤษภาคม 2563 ถึงเดือนตุลาคม 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคล 2) แบบประเมินทักษะของพยาบาลในการสื่อสารกับผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัว 3) แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัว และ 4) แบบวัดทัศนคติของพยาบาลต่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย สำหรับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา พบว่า แบบสอบถามทักษะของพยาบาลในการสื่อสารกับผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวมีค่า CVI เท่ากับ .97 และแบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายมีค่า CVI เท่ากับ 1.00 สำหรับค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถามทักษะของพยาบาลในการสื่อสารกับผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัว และแบบวัดทัศนคติในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค (Cronbachs Alpha Coefficient) เท่ากับ .96 และ .57 ตามลำดับ และแบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย มีค่าคูเดอร์ริชาร์ดสัน 20 (KR-20) เท่ากับ .62 วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ทักษะในการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัว ความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัว และทัศนคติในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายโดยใช้สถิติพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวกับการอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ประสบการณ์การดูแลบุคคลในครอบครัวที่เจ็บป่วยระยะท้าย ประสบการณ์การเข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุมครอบครัว และประสบการณ์การมีบทบาทในการประชุมครอบครัว โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบพอยท์ไบซีเรียล (Point biserial correlation) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวกับความรู้ในการสื่อสารเพื่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวโดยใช้สถิติสหสัมพันธ์สเปียร์แมน (Spearman rank-order correlation coefficient) และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวกับทัศนคติในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายโดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearsons Correlation Coefficient) โดยกําหนดระดับนัยสําคัญที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ทักษะการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัว โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 93.29, SD = 21.79) เมื่อจำแนกรายด้านพบว่า ทักษะด้านการสื่อสารในครอบครัวที่มีปัญหาด้านสัมพันธภาพหรือการมีปฏิสัมพันธ์ และทักษะด้านการสื่อสารด้วยความเห็นใจและเข้าใจในความรู้สึกของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับประเด็นการดูแลในระยะท้ายอยู่ในระดับสูง (x̄ = 39.21, SD = 8.82 ; x̄ = 28.80, SD = 5.42 ตามลำดับ) และทักษะด้านการสื่อสารเพื่อวางแผนและตั้งเป้าหมายการดูแลในระยะท้ายอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 25.28, SD = 10.14) ผลการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์พบว่า ทัศนคติในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ประสบการณ์การมีบทบาทในการประชุมครอบครัว ประสบการณ์การเข้าร่วมสังเกตการณ์ประชุมครอบครัว และประสบการณ์การดูแลบุคคลในครอบครัวที่เจ็บป่วยในระยะท้าย มีความสัมพันธ์ทางบวกกับทักษะการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r =.380, p < .01 ; r =.313, p < .01 ; r =.297, p < .01 ; r =.213, p < .01 ตามลำดับ) แต่การอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวไม่มีความสัมพันธ์กับทักษะการสื่อสารของพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายและครอบครัวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r =.082, p > .05 ; r =.020, p > .05 ตามลำดับ)       
    
 
            		
    
    
     มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์       
    
 
            		
    
    Role:
     อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม       
    
 
            		
    
    ©copyrights มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์