Abstract:
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเจตคติของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับการทำกิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่และศึกษาขีดความสามารถในการรองรับด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งศึกษาการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในการลงทุน ทำกิจกรรมท่องเที่ยว โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและประชุมกลุ่มย่อยกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งใช้แบบสัมภาษณ์สอบถามชาวบ้านเกี่ยวกับเจตคติ จำนวน 127 ครัวเรือน และเกี่ยวกับต้นทุนในการเดินทาง จำนวน 50 ตัวอย่าง ผลการศึกษา พบว่า กิจกรรมท่องเที่ยวที่ชาวบ้านคิดว่าเหมาะสมกับพื้นที่มากที่สุด คือ กิจกรรมรวมกลุ่มอาชีพ ชุมชน ร้อยละ 90.55 รองลงมา คือกิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติ กิจกรรมตกปลา และกิจกรรมปั่นจักรยาน ตามลำดับ ส่วนเส้นทางศึกษาธรรมชาติสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้สูงสุด 263 คนต่อวัน บ้านพักสามารถรองรับได้สูงสุด 12 คนต่อ วันที่จอดรถสามารถรองรับได้สูงสุด 223 คันต่อวัน ห้องน้ำสามารถรองรับได้สูงสุด 108 คนต่อวัน ส่วนความคุ้มค่าในการลงทุน พบว่า กิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติกิจกรรมปั่นจักรยาน กิจกรรมตกปลา และกิจกรรมรวมกลุ่มอาชีพชุมชน มี มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 175,156.67 บาท 193,575.31 บาท 35,550.53 บาท และ 12,516.87 บาท ตามลำดับ อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (BCR) มีค่าเท่ากับ 1.29 1.33 1.04 และ 1.14 ตามลำดับ อัตราผลตอบแทนภายในจากการลงทุน (IRR) มีค่าเท่ากับ ร้อยละ 39 17 3 และ 11 ตามลำดับ และใช้ระยะเวลาคืนทุน 3 ปี 2 เดือน 5 ปี 7 เดือน 8 ปี 8 เดือน และ 6 ปี 8 เดือน ตามลำดับ เพราะฉะนั้น เมื่อเปรียบเทียบในแต่ละกิจกรรม พบว่า กิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติ และกิจกรรมปั่นจักรยานมีความคุ้มค่าในการลงทุนมากที่สุด จากผลการศึกษา จะเห็นได้ว่า พื้นที่ป่าบุญเรื่องมีศักยภาพในการทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ต้องมีการจัดการให้เหมาะสม ดังนั้น หน่วยงานต่าง ๆ เช่น องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ควรให้ความรู้เรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแก่ชาวบ้าน เพื่อให้เกิดการจัดการอย่างเหมาะสม รวมทั้งชาวบ้านควรมีการวางแผนกิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่ให้สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพื่อกระจายจำนวนนักท่องเที่ยว และควรกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ให้เกินขีดความสามารถในการรองรับได้ของพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติเกิดความเสื่อมโทรม
The results showed that most of the activities that villagers consider to be suitable for the area are community occupational activities, 90.55 percent, hiking activities, fishing activities and cycling activities are followed. Maximum carrying capacity of nature trails is 263 people per day. The house can accommodate a maximum of 12 people per day. The car park can accommodate a maximum of 223 cars per day. The restroom can accommodate a maximum of 108 people per day. And the worth of investment showed that hiking activities, cycling activities, fishing activities and community occupational activities, The net present values (NPV) was 175,156.67 baht, 193,575.31 baht, 35,550.53 baht and 12,516.87 baht respectively. The benefitcost ratio (BCR) values was 1.29, 1.33, 1.04 and 1.14 respectively. The internal rate of return (IRR) was 39, 17, 3 and 11 percent respectively. And payback period was 3 years 2 months, 5 years 7 month, 8 years 8 months and 6 years 8 months respectively. Therefore, when comparing in each activity, it was found that hiking activities and cycling activities was the most worth of investment. Based on the results, Boonrueng forest area has the potential to become a tourist attraction. However, it must be managed appropriately, so agencies such as the Designated Areas for Sustainable Tourism Administration (Public Organization) (DASTA) should provide knowledge about sustainable tourism to villagers, to achieve the proper management. Including villagers should plan activities in the area to travel throughout the year, to spread the number of tourists and control tourists, should not exceed the carrying capacity of the area, to prevent natural resources from deteriorating.