แนวทางการออกแบบอาคารสำนักงานของรัฐเพื่อการประหยัดพลังงาน
Design guidelines for energy concervation in the government office building
Abstract:
ปัจจุบันประเทศไทยได้ส่งเสริมการประหยัดพลังงานภายในอาคาร ดังจะเห็นได้จากการเสนอแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี ของกระทรวงพลังงานที่กำหนดเป้าหมายการลดใช้พลังงานให้ได้ 20% แต่แผนดังกล่าวยังขาดความชัดเจนในเรื่องการออกแบบอาคารเพื่อประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารสำนักงานของรัฐที่สร้างขึ้นโดยใช้แบบแปลนเดียวกันเนื่องจากงบประมาณการก่อสร้างที่จำกัด และเป็นแบบแปลนซึ่งถูกออกแบบก่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 จึงส่งผลให้สถาปนิกไม่ได้คำนึงถึงการออกแบบอาคารสำนักงานของรัฐเพื่อการประหยัดพลังงานเท่าที่ควร งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการออกแบบอาคารสำนักงานของรัฐเพื่อการประหยัดพลังงาน โดยขั้นตอนของการวิจัยเริ่มจากรวบรวมข้อมูลงานวิจัยและบทความที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบอาคารเพื่อการประหยัดพลังงาน ศึกษาและเก็บข้อมูลอาคารสำนักงานของรัฐในปัจจุบันเพื่อนำมาเป็นกลุ่มอาคารตัวอย่าง ซึ่งสามารถแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 3 ขนาด ได้แก่ 300 ตารางเมตร 1,200 ตารางเมตร และ 12,000 ตารางเมตร จากนั้นจำลองอาคารด้วยโปรแกรม eQUEST 3.65 การทดลองแบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่หนึ่งคือการเปรียบเทียบการใช้พลังงานภายหลังการปรับเปลี่ยนทิศทางการวางแกนของอาคาร อัตราส่วนรูปทรงของอาคาร จำนวนทิศทางของช่องเปิด และสัดส่วนของช่องเปิดต่อผนังของอาคาร ส่วนระยะที่สองคือการเลือกอาคารเพื่อเปรียบเทียบการใช้งานพลังงานกับค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างหลังจากการเปลี่ยนวัสดุผนังและวัสดุกระจก ผลการทดลองสรุปได้ว่าขนาดพื้นที่ใช้สอยของอาคารส่งผลต่อการประหยัดพลังงานไม่เท่ากัน การปรับเปลี่ยนอัตราส่วนรูปทรงของอาคารและสัดส่วนของช่องเปิดต่อผนังของอาคารส่งผลมากต่อการประหยัดพลังงานสำหรับอาคารที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาด 300 และ 1,200 ตารางเมตร แต่ส่งผลน้อยสำหรับอาคารที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาด 12,000 ตารางเมตร สำหรับการปรับเปลี่ยนทิศทางการวางแกนของอาคารส่งผลต่อการประหยัดพลังงานมากสำหรับอาคารที่มีช่องเปิด 2 ทิศทาง ส่วนการประหยัดพลังงานภายในอาคารในกรณีที่ได้เปลี่ยนวัสดุผนังและวัสดุกระจกขึ้นอยู่กับจำนวนทิศทางและสัดส่วนของช่องเปิดของอาคารด้วย โดยหากเป็นอาคารที่มีช่องเปิด 2 ทิศทางและสัดส่วนของช่องเปิดมากกว่า 50% และอาคารที่มีช่องเปิด 4 ทิศทางและสัดส่วนของช่องเปิดมากกว่า 30% ควรเลือกลงทุนที่จะเปลี่ยนวัสดุกระจก ส่วนอาคารในกรณีอื่น ๆ ควรเลือกลงทุนที่จะเปลี่ยนวัสดุผนัง เมื่อออกแบบอัตราส่วนพื้นที่ใช้สอยและทิศทางการวางแกนของอาคารอย่างเหมาะสม รวมถึงเปลี่ยนวัสดุกระจกกับวัสดุผนังของอาคารแล้วจะลดการใช้พลังงานได้ 9.11% จากอาคารเดิมที่มีอยู่ พบว่าหากต้องการได้อาคารประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการเพิ่มค่าก่อสร้างในเรื่องของวัสดุกรอบอาคารโดยในงานวิจัยได้มีการคำนึงถึงระยะเวลาการคืนทุน ซึ่งผลที่ได้จากงานวิจัยนี้ชี้ให้รัฐและผู้ออกแบบได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการออกแบบอาคารโดยพิจารณาถึงการออกแบบอนุรักษ์พลังงานควบคู่ไปกับงบประมาณการก่อสร้าง
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
©copyrights มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์