การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดกระเทียมเสริมอาหารในการเลี้ยงปลานิลเพื่อการผลิตอาหารปลอดภัย
Study of efficacy of garlic extract adding feed in nile tilapia culture for production of food safety
รายงานผลการวิจัยเรื่องการศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดกระเทียมเสริมอาหารในการเลี้ยงปลานิลเพื่อการผลิตอาหารปลอดภัย
Organization :
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ
Organization :
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ
Abstract:
การศึกษาวิจัยใช้สารสกัดสมุนไพรเสริมอาหารเพื่อเพิ่มผลผลิตของปลานิลที่เลี้ยงด้วยอาหารอินทรีย์ มีโดยใช้สารสกัดกระเทียมและสูตรสารสกัดกระเทียมผสมสมุนไพรอื่น 0.5% (w/w) เป็นเวลา 16 สัปดาห์ ทําการเก็บตัวอย่างทุก 4 สัปดาห์ จาก 3 กลุ่มทดลอง ได้แก่ กลุ่มควบคุมให้อาหารอินทรีย์ปกติ (C) กลุ่มปลาที่ได้รับสารสกัดกระเทียม (T1) และกลุ่มปลาที่ได้รับสูตรสารสกัดกระเทียมผสมสมุนไพรอื่น (T2) โดยแบ่งปลาเป็น 2 ขนาด ได้แก่ ขนาดใหญ่ (Large) และขนาดเล็ก (Small) ค่าการเจริญเติบโตเมื่อสิ้นสุดการทดลอง (16 สัปดาห์) พบว่า ค่าน้ำหนักตัวเฉลี่ย (weight, g) ปลากลุ่ม T2-Large มีขนาดใหญ่กว่าปลากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยค่าสัดส่วน น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น (weight gain, %) ของกลุ่มปลา T1-Small และ T2-Small มีสัดส่วนน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปลากลุ่ม C-Small อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่าอัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ (specific growth rate : SGR) กลุ่มปลาที่ได้รับสารสกัดสมุนไพร (T1-Large, T1-Small, T2-Large และ T2-Small) มีค่า SGR สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) น้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อวัน (average daily gain : ADG) ของปลาแต่ละกลุ่ม พบว่า ปลากลุ่ม T-Large มีค่าสูงกว่าปลากลุ่มอื่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ประสิทธิภาพของระบบเลือด พบว่า ค่าเฉลี่ยเม็ดเลือดอัดแน่น (haematocrit) ที่สัปดาห์ 16 สิ้นสุดการทดลอง พบว่า ปลาขนาดใหญ่ทุกกลุ่ม (C-Large T1-Large และ T2-Large) มีค่าเม็ดเลือดอัดแน่นสูงกว่าปลาขนาดเล็กทุกกลุ่ม (C-Small T1-Small และ T2-Small) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่าเฉลี่ยกิจกรรมเอนไซม์ไลโซซาม (lysozyme activity) ของเลือดปลา เมื่อสิ้นสุดการทดลอง 16 สัปดาห์ พบว่า ปลากลุ่ม T2-Large มีค่าสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนค่าเฉลี่ยเอนไซม์ SOD ในเลือดของปลาแต่ละกลุ่ม เมื่อสิ้นสุดการทดลอง 16 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มปลาขนาดใหญ่ที่ได้รับสารสกัดสมุนไพร T1-Large และ T2-Large มีค่า SOD ในเลือดสูงกว่าปลากลุ่มอื่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สำหรับประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร ได้ทําการตรวจวัดค่ากิจกรรมเอนไซม์ย่อยอาหารจากระบบย่อยอาหาร (amylase, lipase, trypsin และ chymotrypsin) และจุลกายวิภาคของลําไส้ พบว่าค่าเฉลี่ยกิจกรรมเอนไซม์อะไมเลสในแต่ละช่วงสัปดาห์มีความแตกต่างกัน โดยในสัปดาห์เริ่มต้น กลุ่มปลาขนาดใหญ่ (C-Large, T1-Large และ T2-Large) มีค่าสูงกว่ากลุ่มปลาขนาดเล็ก (C-Small, T1-Small และ T2-Small) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) นอกจากนี้กลุ่มปลาที่ได้รับสารสกัดสมุนไพร (T1-Large T1-Small T2-Large และ T2-Small) มีค่าต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่าเฉลี่ยกิจกรรมเอนไซม์ไลเปสในสัปดาห์เริ่มต้น ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) เมื่อทดลองให้สารสกัดสมุนไพรเสริมอาหาร พบว่า กลุ่มปลาที่ได้รับสารสกัดกระเทียมผสมสมุนไพรอื่น (T2-Large และ T-Small) มีค่ากิจกรรมเอนไซม์ไลเปสสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และเมื่อสิ้นสุดการทดลอง กลุ่ม T2-Large มีค่าสูงสุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่าเฉลี่ยกิจกรรมเอนไซม์ทริปซินในสัปดาห์เริ่มต้น กลุ่มปลาขนาดใหญ่ (C-Large, T1-Large และ T2-Large) มีค่าสูงกว่ากลุ่มปลาขนาดเล็ก (C-Small, T1-Small และ T2-Small) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) เมื่อปลาได้รับสารสกัดสมุนไพร พบว่า กลุ่มปลาขนาดเล็กที่ได้รับสารสกัดสมุนไพร (T1-Small และ T2-Small) มีค่ากิจกรรมเอนไซมทริปซิน สูงกว่ากลุ่มอื่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) เมื่อสิ้นสุดการทดลองสัปดาห์ที่ 16 พบว่า ปลาขนาดใหญ่ของกลุ่มควบคุม (C-Large) มีค่ากิจกรรมเอนไซม์ทริปซินต่ำสุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่าเฉลี่ยกิจกรรมเอนไซม์ไคโมทริปชิน ในแต่ละช่วงสัปดาห์มีความแตกต่างกัน โดยในสัปดาห์เริ่มต้นไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) เมื่อปลาได้รับสารสกัดสมุนไพร พบว่า กลุ่มควบคุมและกลุ่มปลาขนาดเล็กที่ได้รับสารสกัดกระเทียม (C-Large C-Small และ TI-Large) มีค่ากิจกรรมเอนไซม์ไคโมทริปซิน สูงกว่ากลุ่มอื่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) เมื่อ สิ้นสุดการทดลอง สัปดาห์ที่ 16 พบว่า ปลาขนาดใหญ่ของกลุ่มควบคุม (C-Large) มีค่ากิจกรรม เอนไซม์ไคโมทริปซินสูงสุด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่าเฉลี่ยสัดส่วนกิจกรรมเอนไซม์ทริปซิน/กิจกรรมเอนไซม์ไคโมทริปซิน (T/C ratio) พบว่า กลุ่มปลาที่มีค่าต่ำ จะเป็นกลุ่มปลาขนาดเล็ก (C-Small, T1-Small และ T2-Small) เมื่อสิ้นสุดการ ทดลอง สัปดาห์ที่ 16 กลุ่มปลา T2-Small มีค่า T/C ratio สูงสุด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยในทุกช่วงสัปดาห์ กลุ่มปลาที่ได้รับสารสกัดสมุนไพร (T1-Large T1-Small T2-Large และ T2-Small) จะมีค่าสูงกว่ากลุ่มควบคุม (C-Large และ C-Small) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนจุลกายวิภาคของลําไส้ปลานิล พบว่า กลุ่มปลานิลทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่ได้รับ อาหารผสมสารสกัดกระเทียมและสารสกัดอื่นๆ (T2-Large และ T2-Small) มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางจุลกายวิภาคของลําไส้ ให้ความสมบูรณ์ของโครงสร้างเนื้อเยื่อสมบูรณ์มากกว่าปลานิลกลุ่มทดลองอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางจุลกายวิภาคในบริเวณลําไส้ในกลุ่มปลา T2-Large มีความยาววิลไลสูงสุดในสัปดาห์ที่ 12 เท่ากับ 236.03+-64.47 มิลลิเมตร โดยไม่แตกต่างกับปลาขนาดใหญ่กลุ่มอื่น (p>0.05) ขณะที่ในกลุ่มปลา C-Small มีความยาววิลไลสูงสุดในสัปดาห์ที่ 12 เท่ากับ 203.47+-15.99 มิลลิเมตร โดยแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) กับปลาขนาดเล็กกลุ่มอื่น เมื่อเก็บผลผลิต พบว่า กลุ่มควบคุม (C) ได้น้ำหนักปลารวมทั้งหมดเท่ากับ 51.6 kg กลุ่ม ปลาที่ได้รับสารสกัดกระเทียม (T1) ได้น้ำหนักปลารวมทั้งหมดเท่ากับ 52.1 kg กลุ่มปลาที่ได้รับสูตรสารสกัดกระเทียมผสมสมุนไพรอื่น (T2) ได้น้ำหนักปลารวมทั้งหมดเท่ากับ 62.3 kg ดังนั้นจากการทดลองนี้ กลุ่ม T2 ได้น้ำหนักปลารวมเพิ่มขึ้นจากกลุ่มควบคุม เท่ากับ 20.7% สรุปได้ว่า สูตรสารสกัดกระเทียมผสมสมุนไพรอื่นสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตปลานิลที่เลี้ยงด้วยอาหารอินทรีย์ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และสารสกัดสมุนไพรสามารถเร่งการเจริญเติบโตในปลาขนาดเล็กในระหว่างเลี้ยงได้
มหาวิทยาลัยแม่โจ้. สำนักหอสมุด
CallNumber:
639.8 จ533ก 2563
©copyrights มหาวิทยาลัยแม่โจ้