Title
ผลของการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรต่ออินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ของดินและแนวทางการจัดทำข้อมูลในรูปแผนที่ กรณีศึกษา อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
Title Alternative
Effects of land use on organic matter and soil fertility, and information guidelines for planning A case study of Mae Taeng district, Chiang Mai province
Description
Abstract:
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดการดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อ ปริมาณอินทรีย์คาร์บอนส่วนต่างๆ การกักเก็บคาร์บอน และสมบัติบางประการของดินในดินนาภายใต้ ระบบการจัดการแบบเกษตรอินทรีย์และเกษตรเคมี และดินปลูกข้าวและลําไย และประเมินระดับ อินทรียวัตถุ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน รวมไปถึงวิธีการจัดทําแผนที่ ความสําคัญ และประโยชน์ จากการนําแผนที่อินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ของดินไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ศึกษา ประกอบด้วย 2 การทดลอง ได้แก่ การทดลองที่ 1 ผลของการจัดการดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อปริมาณอินทรีย์คาร์บอน ส่วนต่างๆ การกักเก็บคาร์บอน และสมบัติบางประการของดินในดินนาภายใต้ระบบการจัดการแบบ เกษตรอินทรีย์และเกษตรเคมี กรณีศึกษา: บ้านดอนเจียง ตําบลสบเปิง อําเภอแม่แตง จังหวัด เชียงใหม่ และดินปลูกข้าวและลําไย กรณีศึกษา: อําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ปริมาณความเข้มข้นและการกักเก็บคาร์บอนของ Total Organic Carbon (TOC) ในดินนาอินทรีย์สูงกว่านาเคมี แต่ Permanganate Oxidized Carbon (POC), Carbon in Large Particle Size Fraction (CLPSF) และ (Carbon in Fine Particle Size Fraction (CFPSF) ในดินนาเคมีสูงกว่านาอินทรีย์ ส่วนความเข้มข้นของ Water Soluble Carbon (WSC) และ Hot Water Soluble Carbon (HWSC) ในดินนาอินทรีย์สูงกว่านาเคมี แต่การกักเก็บคาร์บอนไม่แตกต่างกัน ซึ่งในดินนาอินทรีย์ WSC, HWSC, POC, CLPSF และ CFPSF และนาเคมี POC และ CFPSF มีสหสัมพันธ์ทางตรงกับ TOC และ อินทรีย์คาร์บอนส่วนต่างๆ ในดินนาอินทรีย์ มีสหสัมพันธ์ทางตรงกับค่า CEC และ Clay Contents ส่วนนาเคมีมีเพียง TOC และ POC เท่านั้น จึงส่งผลต่อปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในดิน และพบว่า ปริมาณความเข้มข้นและการ กักเก็บคาร์บอนของ WSC, HWSC, CLPSF และ CFPSF ในดินปลูกข้าวสูงกว่าดินลําไย ซึ่งในดินปลูก ข้าว POC, CLPSF และ CFPSF และดินปลูกลําไย HWSC, POC, CLPSF และ CFPSF มีสหสัมพันธ์ ทางตรงกับ TOC ส่วนการกักเก็บคาร์บอนในดินปลูกข้าว WSC, POC และ CLPSF และดินปลูกลําไย HWSC, POC, CLPSF และ CFPSF มีสหสัมพันธ์ทางตรงกับ TOC และในดินปลูกข้าว TOC, POC และ CLPSF มีสหสัมพันธ์ทางตรงกับค่า Cation Exchange Capacity (CEC) และ TOC, POC, CLPSE และ CFPSF มีสหสัมพันธ์ทางตรงกับค่า Clay Contents ส่วนดินปลูกลําไย TOC, DOC, CLPSF และ CFPSF มีสหสัมพันธ์ทางตรงกับค่า CEC และ Clay Contents ดังนั้นการใช้ประโยชน์ที่ดิน และค่า CEC และ Clay Contents จึงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับปริมาณคาร์บอนทั้งหมดในดิน การทดลองที่ 2 การจัดทําแผนที่อินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ดิน กรณีศึกษา: พื้นที่นาข้าวภายใต้ระบบการจัดการแบบเกษตรอินทรีย์และเกษตรเคมี บ้านดอนเจียง ตําบลสบเปิง อําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ปลูกข้าวและลําไย อําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ดินนาอินทรีย์ที่ระดับความลึก 0-5 และ 5-10 ซม. พื้นที่ส่วนใหญ่มีระดับอินทรียวัตถุค่อนข้างสูง (2.6 3.5%) ส่วนที่ระดับความลึก 10-15 และ 15-30 ซม. พื้นที่ส่วนใหญ่มีระดับอินทรียวัตถุปานกลาง (1.6-2.5%) ส่วนดินนาเคมีทั้ง 4 ระดับความลึก พื้นที่ส่วนใหญ่มีระดับอินทรียวัตถุปานกลาง และดินนาทั้งสองระบบมีระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินปานกลาง ส่วนดินปลูกข้าวและลําไย พบว่า ดินปลูกพืชทั้งสองชนิด พื้นที่ส่วนใหญ่มีระดับอินทรียวัตถุปานกลางจนถึงค่อนข้างต่ำ และมีระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินปานกลาง ซึ่งผลการจัดทําแผนที่อินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ของดินเป็นแนวทางหนึ่งในการนําข้อมูลผลการวิเคราะห์ดินมานําเสนอในรูปแผนที่ โดยใช้ระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตร์ (GIS) ซึ่งสามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้ในพื้นที่ศึกษา แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับนโยบาย ระดับเกษตรกร และระดับนักส่งเสริม เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลอินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยใช้ GIS เป็นแนวทางในการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินและการจัดการพื้นที่เพาะปลูกอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพเพื่อนําไปสู่การพัฒนาทางด้านการเกษตรอย่างยั่งยืน
Publisher
มหาวิทยาลัยแม่โจ้. สำนักหอสมุด
Role:
อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก
Role:
อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม
Role:
อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม
Role:
ประธานอาจารย์ประจำหลักสูตร
Source
CallNumber:
631.422 ป496ผ 2560
Rights
©copyrights มหาวิทยาลัยแม่โจ้