พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพกับการรู้เท่าทันสื่อของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานในกรุงเทพมหานคร
The Behavior of Using Social Media on Health and Media Literacy of Elderly Diabetics in Bangkok
Abstract:
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาการรู้เท่าทันสื่อในประเด็นที่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานในเขตกรุงเทพมหานคร และเพื่อพัฒนาแบบจำลองการรู้เท่าทันสื่อโซเชียลมีเดียเพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณโดยเป็นการสำรวจผู้สูงอายุที่ใช้โซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพ จำนวน 400 คน และวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้สูงอายุที่ใช้โซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพ จำนวน 18 คน
ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานส่วนใหญ่มีการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนเป็นหลัก ร้อยละ 96 ส่วนประเภทของโซเชียลมีเดียคือเฟซบุ๊ก ร้อยละ 90 และไลน์ ร้อยละ 87.9 โดยช่วงเวลากลางวันจะเป็นช่วงเวลาที่ใช้โซเชียลมีเดียมากที่สุด หลังจากว่างจากการทำงานบ้านหรือหลังจากทำกิจกรรมต่างๆ และปริมาณการใช้โซเชียลมีเดียที่ผู้สูงอายุใช้อยู่ในระดับปานกลาง
การทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศชายมีการใช้เฟซบุ๊ก และมีการใช้โซเชียลมีเดียในช่วงเวลากลางวันมากกว่าเพศหญิง ส่วนอายุของผู้สูงอายุวัยต้นที่มีอายุ 60-69 ปี มีการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟน มีการใช้เฟซบุ๊ก โดยใช้โซเชียลมีเดียในช่วงเวลากลางวัน, กลางคืนและปริมาณการใช้โซเชียลมีเดียในระดับน้อยและในระดับมาก มากกว่าอายุของผู้สูงอายุวัยกลางที่มีอายุ 70-80 ปี ส่วนการศึกษาของผู้สูงอายุระดับปริญญาตรี มีการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนและแท็ปเล็ต มีการใช้เฟซบุ๊กและไลน์ โดยมีการใช้โซเชียลมีเดียในช่วงเวลากลางคืน และมีปริมาณการใช้โซเชียลมีเดียในระดับปานกลางและในระดับมาก มากกว่าผู้สูงอายุที่มีการศึกษาในระดับต่างๆ ส่วนอาชีพของผู้สูงอายุที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ/รัฐวิสาหกิจมีการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟน มีการใช้เฟซบุ๊กและไลน์มากกว่าผู้สูงอายุที่เป็นข้าราชการ, ผู้สูงอายุที่ทำธุรกิจส่วนตัวและผู้สูงอายุที่ทำบริษัทเอกชน นอกจากนี้ผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,000 บาทขึ้นไป มีการใช้สมาร์ทโฟน, แท็ปเล็ต,โน๊ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,000 บาทขึ้นไป มีการใช้เฟซบุ๊กและไลน์ อีกทั้งยังมีการใช้โซเชียลมีเดียในช่วงเวลากลางดึกและช่วงเวลากลางวันมากกว่าผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่น้อยกว่า 30,000 บาท
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีการใช้โซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊กและไลน์ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีการใช้ไลน์ในการเข้าถึงข้อมูลเพียงประเภทเดียว อย่างในเฟซบุ๊กผู้สูงอายุสามารถอ่านบทความ/ เนื้อหาที่แชร์หรือมีการส่งต่อกันมาได้ ส่วนในไลน์ผู้สูงอายุจะได้รับเนื้อหา บทความและคลิปวีดิโอสั้นๆ จากการส่งต่อแบบกลุ่ม เช่น เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนสมัยเรียน หรือแบบส่วนตัว นอกจากนั้นผู้สูงอายุมักจะมีการเปิดออนไลน์อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าผู้สูงอายุเองจะไม่ได้เข้าเฟซบุ๊กและไลน์ก็ตาม เนื่องจากกลัวที่จะจำรหัสในการเข้าเฟซบุ๊กและไลน์ไม่ได้ ในการเข้าถึงเนื้อหาหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับโรคเบาหวานหรือด้านสุขภาพในโซเชียลมีเดียได้มาจากเครือข่ายทางสังคม ได้แก่ ครอบครัว ญาติ เพื่อน เป็นต้น ผ่านสมาร์ทโฟนเป็นหลัก แต่ยังมีผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานบางท่านมีการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ผู้สูงอายุใช้ในการเข้าถึงเนื้อหา นอกจากนี้ช่วงเวลาในการใช้โซเชียลมีเดียของผู้สูงอายุจะเป็นช่วงเวลาที่ว่างจากการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ช่วงเวลาในการใช้โซเชียลมีเดียจะอยู่ช่วงเย็นและก่อนนอน เป็นต้น แต่ก็ยังมีผู้สูงอายุบางท่านที่ใช้โซเชียลมีเดียตอนตื่นนอนด้วย ในการเข้าใช้โซเชียลมีเดียแต่ละครั้งประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อครั้ง เป็นปริมาณการใช้โซเชียลมีเดียในระดับปานกลาง
ความพึงพอใจในการใช้โซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานในกรุงเทพมหานคร มีความพึงพอใจในการใช้โซเชียลมีเดียด้านเวลามากกว่าความพึงพอใจในการใช้โซเชียลมีเดียด้านรูปแบบและความพึงพอใจในการใช้โซเชียลมีเดียด้านเนื้อหา เนื่องจากเนื้อหาที่ได้รับจากโซเชียลมีเดียมีการนำเสนอที่ใช้เวลาที่ไม่ยาวจนเกินไป เช่น คลิปวีดิโอสั้นๆ อาทิ รายการชัวร์ก่อนแชร์ หรือคลิปวีดิโอสั้นๆ แบบที่เป็นบทความสั้นๆ แบบโปสเตอร์ภาพ เป็นต้น ส่วนวิธีการนำเสนอจะใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย มีความน่าสนใจ และตรงกับความต้องการของผู้สูงอายุ รวมทั้งได้นำวิธีการในคลิปหรือบทความไปใช้หรือไปทำตาม
การทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศชายมีความพึงพอใจในการใช้โซเชียลมีเดียด้านรูปแบบมากกว่าเพศหญิง โดยที่ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาโท มีความพึงพอใจในการใช้โซเชียลมีเดียด้านเนื้อหา ด้านรูปแบบและด้านเวลา มากกว่าผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาเอก ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี และผู้สูงอายุที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี และผู้สูงอายุที่มีรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือน 30,000 บาทขึ้นไป มีความพึงพอใจในการใช้โซเชียลมีเดียด้านเนื้อหา ด้านรูปแบบและด้านเวลา มากกว่าผู้สูงอายุที่มีรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท, ผู้สูงอายุที่มีรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท และผู้สูงอายุที่มีรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือน ต่ำกว่า 10,000 บาท
ลักษณะเนื้อหาที่ได้รับในโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานหรือที่เกี่ยวกับสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร สมุนไพร อุบัติเหตุ หรือความเครียด เป็นต้น ซึ่งเป็นเนื้อหาที่สนใจและเป็นที่ต้องการของผู้สูงอายุ ส่วนเนื้อหาที่อยากปฏิบัติตามจะเป็นเนื้อหาที่ใกล้ตัวและมีวิธีการทำตามแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก เนื้อหาที่ได้รับมาส่วนใหญ่จะมาจากเพื่อน คนรู้จัก ญาติพี่น้อง ทั้งในไลน์และเฟซบุ๊ก อีกทั้งยังประเด็นที่น่าสนใจคือ ได้รับเนื้อหาที่เกี่ยวกับแพทย์ทางเลือกหรือแพทย์พื้นบ้านในการช่วยรักษาโรคเบาหวานหรือโรคเรื้อรังนอกจากการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน รวมถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
การใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพด้านการป้องกันโรคมากกว่าการใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพด้านการส่งเสริมสุขภาพและด้านการรักษาพยาบาล เนื่องจากการใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพด้านการป้องกันโรคของผู้สูงอายุจะมีความกังวลน้อยลงเมื่อทราบสาเหตุของโรคต่างๆ มีการนำความรู้ที่ได้รับจากโซเชียลมีเดียมาสังเกตอาการผิดปกติให้กับตนเองและวิธีการป้องกันไปบอกต่อกับคนใกล้ชิดหรือเครือข่ายต่อไปได้ ในขณะที่การใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับด้านการส่งเสริมสุขภาพ จะเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่แข็งแรงและคลายเครียด รวมทั้งเป็นวิธีการที่ผู้สูงอายุสามารถนำไปใช้ได้ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง
การทดสอบสมมติฐานพบว่า ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาโท มีการใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพด้านการส่งเสริมสุขภาพ มากกว่าผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาเอก, ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี และผู้สูงอายุที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ส่วนผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาเอก มีการใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพด้านการป้องกันโรค, ด้านการรักษาพยาบาล และการใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพในภาพรวม มากกว่าผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาโท, ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี และผู้สูงอายุที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ในส่วนผู้สูงอายุที่เป็นพนักงานในกำกับของรัฐ/ รัฐวิสาหกิจ มีการใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพด้านการป้องกันโรค มากกว่าผู้สูงอายุที่เป็นข้าราชการ, ผู้สูงอายุที่ทำธุรกิจส่วนตัวและผู้สูงอายุที่ทำบริษัทเอกชน นอกจากนี้ผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,000 บาทขึ้นไป มีการใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพด้านการรักษาพยาบาล มากกว่าผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท, ผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท และผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท และการพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอของผู้สูงอายุ มีการใช้ประโยชน์ในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพด้านการรักษาพยาบาล มากกว่าการพบแพทย์อย่างไม่สม่ำเสมอของผู้สูงอายุ
เนื้อหาหรือข้อมูลที่ได้รับจากโซเชียลมีเดียนั้น เป็นเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการหรือมีประโยชน์สำหรับผู้ให้สัมภาษณ์ และต้องเป็นเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ทำตามง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน ถ้าเป็นเนื้อหาที่มาให้รูปแบบคลิปสั้นๆมีวิธีการดูและเข้าใจง่ายยิ่งทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์ทำตามได้ง่ายขึ้นและการใช้ประโยชน์จากเนื้อหาที่ได้รับมาเนื้อหาหรือข้อมูลดังกล่าวจะต้องมีความน่าเชื่อถืออีกด้วย
การรู้เท่าทันสื่อในประเด็นที่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานในเขตกรุงเทพมหานคร มีทักษะการประเมินเนื้อหาในสาร มากกว่าทักษะในการเข้าถึงและทักษะการวิเคราะห์ เมื่อผู้สูงอายุได้รับเนื้อหาหรือข้อมูลข่าวสารในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพ ได้มีการตรวจสอบถึงแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและส่งต่อไปยังผู้รับสารทั้งแบบทั่วไปและแบบเจาะจง
การทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศชายมีทักษะในการเข้าถึงมากกว่าเพศหญิง ผู้สูงอายุวัยต้น (60-69 ปี) มีทักษะในการเข้าถึงและมีทักษะประเมินเนื้อหาในสาร มากกว่าผู้สูงอายุวัยกลาง (70-80 ปี) ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาโท มีทักษะในการเข้าถึงและมีทักษะการประเมินเนื้อหาในสาร มากกว่าผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาเอก, ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี และผู้สูงอายุที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ส่วนผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาเอกมีทักษะการวิเคราะห์และการรู้เท่าทันสื่อในประเด็นที่เกี่ยวกับสุขภาพ มากกว่าผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาโท, ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี และผู้สูงอายุที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี
นอกจากนี้ผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,000 บาทขึ้นไป มีทักษะในการเข้าถึง, ทักษะการวิเคราะห์, ทักษะการประเมินเนื้อหาในสารและการรู้เท่าทันสื่อในประเด็นที่เกี่ยวกับสุขภาพ มากกว่าผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท, ผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท และผู้สูงอายุที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท และการพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอของผู้สูงอายุ มีทักษะการวิเคราะห์มากกว่าการพบแพทย์อย่างไม่สม่ำเสมอของผู้สูงอายุ
เมื่อผู้สูงอายุได้รับเนื้อหาหรือข้อมูลที่ได้รับในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับสุขภาพ หากเกิดความสงสัยในเนื้อหาหรือข้อมูลที่ได้รับ จะมีการค้นหาข้อมูลเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการหรือ มีการส่งเนื้อหาหรือข้อมูลไปยังผู้รู้ และบางครั้งอาจจะมีการส่งกลับไปสอบถามเพื่อความชัดเจนในเนื้อหาหรือข้อมูลที่ได้รับมาจากผู้ที่ส่งเนื้อหาหรือข้อมูลมาด้วยเช่นกัน ซึ่งความน่าเชื่อถือของเนื้อหาหรือข้อมูลที่ได้รับนั้น ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความรู้ของผู้สูงอายุได้เรียนรู้มาและประสบการณ์ของตัวผู้สูงอายุเอง เพราะผู้ที่ส่งเนื้อหาหรือข้อมูลเหล่านั้นมา ก็เป็นผู้ที่มีความรู้หรือคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ โดยมีการตรวจสอบเนื้อหาหรือข้อมูลก่อนมาถึงผู้รับสาร ซึ่งผู้รับสารเองก็มีการเปรียบเทียบเนื้อหาเหล่านั้นจากประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาหรือเป็นสิ่งที่คุ้นเคยมา ทั้งในส่วนของการรับรู้และทัศนคติที่มีต่อเนื้อหาหรือข้อมูลนั้นๆ ด้วย ส่วนวิธีการหรือลักษณะในการส่งต่อของเนื้อหาหรือข้อมูลที่ได้รับจากโซเชียลมีเดียของผู้สูงอายุ มีการส่งต่อทั้งแบบแยกเนื้อหาหรือข้อมูลและแบบไม่แยกเนื้อหา
โดยแบบการแยกเนื้อหาหรือข้อมูลนั้นจะมีการเปรียบเทียบจากความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมของผู้ส่ง อีกทั้งได้มีการอ้างอิงข้อมูลจากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นเพื่อเป็นการยืนยันก่อนที่จะส่งต่อเพื่อให้กลุ่มหรือบุคคลให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด ส่วนแบบไม่แยกเนื้อหานั้นจะไม่มีการเลือกกลุ่มหรือบุคคลที่รับสารจะส่งข้อมูลหรือเนื้อหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไป เรื่องสุขภาพหรือเป็นเรื่องเฉพาะที่เกิดกับผู้สูงอายุหรือคนใกล้ตัว นอกจากนี้เมื่อได้มีการส่งต่อไปแล้ว บางครั้งผู้ที่รับเนื้อหาหรือข้อมูลจากผู้สูงอายุได้มีการสอบถามในข้อสงสัยเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจและน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาหรือข้อมูลที่ส่งไปด้วย
สิ่งเหล่านี้เป็นการฝึกฝนให้ผู้สูงอายุมีการรู้เท่าทันโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นการใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ในการดูแล ป้องกันและรักษาสุขภาพ ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไปอีกด้วย
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. ศูนย์เรียนรู้และหอสมุด.
©copyrights มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์