รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย
Buddhism propagation model in Indonesia
Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อรูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย และ 3) นำเสนอรูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซียที่เหมาะสม การวิจัยประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการโดยสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 27 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย (1) ผู้บริหารองค์การชาวพุทธจำนวน 13 รูป/คน (2) พระธรรมทูต จำนวน 14 รูป และจัดการสนทนากลุ่ม 1 กลุ่ม มีผู้ร่วมสนทนาจำนวน 9 คน ประกอบด้วย (1) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จำนวน 3 คน (2) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ จำนวน 4 คน และ (3) กลุ่มนักวิชาการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จำนวน 2 คน ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการตีความ ในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณนั้น ดำเนินการโดยศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นพุทธศาสนิกชนในประเทศอินโดนีเซียจำนวน 400 คน ประกอบไปด้วย (1) เมืองบันดุง จังหวัดชวาตะวันตก จำนวน 14 คน (2) เมืองเมดาน จังหวัดสุมาตราเหนือ จำนวน 186 คน และ (3) เมืองจาการ์ตา เขตนครหลวงพิเศษจาการ์ตา จำนวน 200 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยการคำนวนตามสูตร ทาโร่ ยามาเน่ ซึ่งเลือกมาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วน และการสุ่มอย่างง่าย เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และวิเคราะห์ข้อมูลด้านสถิติ ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานการวิจัยโดยใช้วิเคราะห์การถดถอยแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน พบว่า ด้านการพัฒนาจำนวนของบุคลากรพระธรรมทูต บัณฑิต และผู้นำเยาวชนชาวพุทธยังไม่เพียงพอ ขาดหลักสูตรอบรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้านกิจกรรมการเผยแผ่ ขาดการจัดกิจกรรมที่เหมาะสม ด้านวิธีการเผยแผ่ขาดวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ความเหมาะสมต่อการเผยแผ่ ด้านการนำหลักธรรมไปปฏิบัติชาวพุทธขาดความรู้ความเข้าใจในการนำหลักธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวัน และผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.19, S.D. = 0.41) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการนำหลักธรรมไปปฏิบัติอยู่ในระดับสูงสุด ( = 4.30, S.D. = 0.53) รองลงมา คือ ด้านการดำเนินกิจกรรม ( = 4.29, S.D. = 0.46) ด้านวิธีการเผยแผ่ ( = 4.17, S.D. = 0.51) และด้านการพัฒนาบุคลากร ( = 4.02, S.D. = 0.60) ตามลำดับ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อรูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย ประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ (1) ปัจจัยด้านบริบทประเทศอินโดนีเซีย (β = 0.22) ประกอบด้วย 3 ตัวแปร คือ ด้านเครือข่ายทางสังคม ด้านชีวิตความเป็นอยู่ และด้านวัฒนธรรม (2) ปัจจัยด้านการบริหารจัดการ (β = 0.14) ประกอบด้วย 3 ตัวแปร คือ ด้านทักษะความสามารถองค์การ ด้านกลยุทธ์การจัดองค์การ และด้านการจัดการบุคลากร โดยทั้งสองปัจจัยสามารถอธิบายความผันแปรของรูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซียได้ร้อยละ 64.90 (R2= 0.65) อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นอีก 2 ปัจจัย ที่สามารถร่วมอธิบายรูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนา คือ ปัจจัยด้านความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวพุทธอินโดนีเซีย มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่อดีต และในปัจจุบันมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่มีอัตลักษณ์ในการเชื่อฟังปฏิบัติตามสั่งสอนของครูอาจารย์ และปัจจัยด้านความมีเอกภาพบนความหลากหลายที่ทำให้ชาวอินโดนีเซียยอมรับศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างได้อย่างกลมกลืน จึงส่งผลให้รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซียมีประสิทธิภาพ 3) รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย มีองค์ประกอบที่สำคัญ 5 ประการ คือ (1) M = พระสงฆ์ คือ มหาเถรสมาคมควรมีนโยบายการที่ชัดเจนในการบริหารจัดการคณะสงฆ์ไทยในต่างแดน โดยการเพิ่มปริมาณพระสงฆ์เถรวาทในต่างแดนด้วยการมีพระอุปัชฌาย์ในต่างแดน จัดให้มีกระบวนการอบรมพระธรรมทูตที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้พระธรรมทูตนำความรู้ไปใช้ตรงตามประเทศที่ไปปฏิบัติงาน ดำเนินการให้พระธรรมทูตมีความรู้ในด้านหลักธรรมพระพุทธศาสนาเถรวาท เข้าใจในวัฒนธรรมประเทศอินโดนีเซีย และมีความสามารถใช้ภาษาอินโดนีเซียในระดับดี (2) E = ขยาย คือ ควรขยายจำนวนพระธรรมทูตไทย และบัณฑิต ในประเทศอินโดนีเซีย ด้วยการเพิ่มจำนวนพระอุปัชฌาย์ ในประเทศอินโดนีเซียให้พระอุปัชฌาย์ในประเทศไทยให้การอุปสมบทแก่ชาวอินโดนีเซียได้ ผลิตบัณฑิตให้มีจำนวนเพียงพอต่อการจัดกิจกรรมเผยแผ่ (3) D = พัฒนา คือ ควรพัฒนาพระธรรมทูตและบัณฑิต ให้มีความรู้ความสามารถในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผ่านหลักสูตรการอบรมที่มีประสิทธิภาพด้วยกลยุทธ์พัฒนาพระธรรมทูตในประเทศอินโดนีเซีย และกลยุทธ์การพัฒนาบัณฑิตเพื่อแต่งตั้งเป็นบัณฑิตประจำชุมชน (4) A = กิจกรรม คือ ควรจัดกิจกรรมอย่างมีคุณค่า ประกอบด้วย การจัดกิจกรรมทำสมาธิ การจัดกิจกรรมบูชาพระรัตนตรัยในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การจัดกิจกรรมประกาศตนเป็นพุทธมามกะ และ (5) N = เครือข่าย คือ ควรเผยแผ่พระพุทธศาสนาผ่านเครือข่ายทางสังคม ผ่านสังคมกลุ่มชาติพันธุ์ โดยใช้กิจกรรมกลุ่มและเทคโนโลยีสื่อสารออนไลน์ ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตในเมืองใหญ่และในชนบทสอดคล้องกับวัฒนธรรมชาติพันธุ์ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวสามารถสรุปได้ คือ รูปแบบเมดัน
มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
Role:
ประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์.
CallNumber:
วพ 294.35 พ975ร 2561
©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ