Abstract:
การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเปรียบเทียบและอภิปรายผลการจัดการศึกษาโรงเรียนวิถีพุทธของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 จำแนกตามภูมิหลังของครู ใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นครู จำนวน 212 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว
ผลการวิจัย พบว่า
1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 68.93 อายุมากกว่า 40 ปี ร้อยละ 47.09 ระดับการศึกษาปริญญาตรีร้อยละ 75.73 ประสบการณ์การสอน 1-10 ปี ร้อยละ 42.23 และวิทยฐานะปัจจุบันชำนาญการ ร้อยละ 41.75
2) การจัดการศึกษาโรงเรียนวิถีพุทธของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ในภาพรวมมีการปฏิบัติในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับ ที่หนึ่ง คือ ด้านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ รองลงมาด้านกายภาพ ด้านกิจกรรมพื้นฐานชีวิตและด้านการเรียนการสอน ตามลำดับ
3) ครูที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการศึกษาโรงเรียนวิถีพุทธของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 ส่วนครูที่มีอายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การสอน และวิทยฐานะต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการศึกษาโดรงเรียนวิถีพุทธของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน
ผลจากการสัมภาษณ์ พบว่า
การจัดการศึกษาโรงเรียนวิถีพุทธเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้นักเรียนทุกคน ได้รับการพัฒนาในด้านคุณธรรม จริยธรรมรวมถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์อีกทั้งยังพัฒนาองค์ความรู้ด้านสติปัญญาและด้านอื่นๆ ให้เป็นคนดี คนเก่งและอยู่ร่วมในสังคมอย่างมีความสุข โดยนำหลักไตรสิกขา การนำหลักธรรมมาใช้พัฒนานักเรียนเป็นภาพรวมของสถานศึกษานำสู่ด้านจุดเน้นการพัฒนานักเรียนสามารถ กิน อยู่ ดู ฟัง เป็นต้น ใช้สติปัญญาที่เป็นประโยชน์ที่แท้จริงต่อชีวิตและการบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ นำสอดแทรกในแผนการจัดการเรียนรู้ส่วนในการจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เป็นกัลยาณมิตรเอื้อในการพัฒนานักเรียนรอบด้านและต่อการจัดการศึกษาโรงเรียนวิถีพุทธ เช่น การจัดภูมิทัศน์ที่สงบ ร่มรื่น สะอาด มีป้ายเกี่ยวกับคุณธรรม สุภาษิตต่างๆ มีพระพุทธรูปประจำโรงเรียนและห้องเรียน การดำเนินการจัดการศึกษาในทางปฏิบัติในโรงเรียนวิถีพุทธแต่ละโรงเรียนมีความคล้ายและแตกต่างขึ้นอยู่กับบริบทและสภาพแวดล้อมของแต่ละโรงเรียน มีการจัดรูปแบบการศึกษาโรงเรียนวิถีพุทธที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของโรงเรียน ซึ่งโดยภาพรวมของการดำเนินการจัดกิจกรรมในรูปแบบการดำเนินงานโครงการวิถีพุทธมีส่วนที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน กระบวนการดำเนินการจัดการศึกษาโดยภาพรวมพบปัญหาภาพรวม ดังนี้ 1) ทางเขตพื้นที่ขาดผู้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ 2) บุคลากรยังขาดความรู้ความเข้าใจด้านการนำการศึกษาวิธีพุทธมาใช้ 3) ขาดปัจจัยในการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมวิถีพุทธ 4) โรงเรียนยังเน้นให้ความสำคัญทางด้านวิชาการ 5) การดำเนินงานจัดการศึกษาวิถีพุทธไม่เต็มรูปแบบเพราะครูมีภาระงานเยอะ ผลลัพธ์โดยภาพรวมของโรงเรียนที่นำรูปแบบการจัดการศึกษาของโรงเรียนวิถีพุทธมาใช้ในการจัดการศึกษาพบว่า นักเรียนมีสมาธิในการเรียนที่นำรูปแบบการจัดการศึกษาของวิถีพุทธมาใช้ในการจัดการศึกษาพบว่านักเรียนมีสมาธิในการเรียนทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น นักเรียนสามารถคิด วางแผน และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดี กล้าแสดงออก นักเรียนมีพฤติกรรมด้านต่างๆ กิริยามารยาทดีขึ้น และมี สัมมาคารวะ นักเรียนรู้จักการใช้ การเอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ นักเรียนนำวิถีพุทธไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน นักเรียนสอบแข่งเข้าศึกษาต่อสถาบันที่มีชื่อเสียงได้
The objective of this research was to study and compare how teachers' backgrounds affected their administration of Buddhist-Oriented teachings in schools under the jurisdiction of the office of secondary educational service area one. The sample was comprised of 212 teachers. The research instrument was a questionnaire. Data was analyzed by percentage, arithmetic mean, standard deviation, t-test and one-way ANOVA.
The study revealed that:
1. The majority of the teachers were females (68.93%) who had a bachelor's degree (75.73%). Almost half were over 40 years old (47.09%), having between one and ten years of teaching experience (42.23%) and were at Professional Level (41.75%).
2. Administration of Buddhist-Oriented teaching was highly practiced in the schools. In regards to each facet, environment and interaction were practiced the most, followed by the physical aspects, basic life skills, and teaching respectively.
3. Gender was the largest factor in differences of opinions on Buddhist Oriented teaching at a significance level of .05. Differences in age, educational background, teaching experience and academic title did not make a significant difference in opinions towards Buddhist-oriented teaching.
The findings from interviews revealed that:
The objectives of Buddhist-Oriented administration was to develop morality, cognition and knowledge so that students would become noble citizens of society. The teachers integrated Buddhism in schools by incorporating it into the curriculum as well as including it in other subjects. The teaching environment was considered a crucial factor in teaching Buddhism. It was found that schools should have a serene, clean and green environment, have signs of Buddha's teaching around the school and have Buddha images in the classrooms. The administration in Buddhist-Oriented schools shared similarities and differences, based on the context and environment of the schools. The problems Buddhist-oriented schools faced were lack of responsible personnel, understanding and support, as well as schools focusing more on academics and teachers' workloads. Nevertheless. Buddhist-oriented schools had positive outcomes. Students had improved learning achievement; they were able to think, plan and solve problems critically. They were assertive but respectful, good mannered and generous. They were able to adapt Buddha's teachings into their daily life and were thus academically successful.