การศึกษาสาเหตุความขัดแย้งและการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถทศึกษานครราชสาชีมา เขต 7

A Study of cause of conflict and conflict management in schools under Nakhon Ratchasima primary educational service area office 7

Name: พาณิชย์ ขอมอบกลาง

Organization : สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

Abstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถประสงค์เพื่อศึกษาสาเหตุความขัดแย้งและเปรียบเทียบสาเหตุความขัดแย้ง เพื่อหาแนวทางการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 โดยจำแนกตามขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 จำนวน 183 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชุด ได้แก่ แบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลโดยแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ การทดสอบ ค่าไค-สแควร์(Chi-squaretest) และแบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า สาเหตุความขัดแย้งในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 โดยภาพรวม 51 ข้อ เป็นสาเหตุความขัดแย้งมากกว่า ร้อยละ 80.0 จำนวน 21 ข้อ เป็นสาเหตุความขัดแย้ง ร้อยละ 60.0-80.0 จำนวน 23 ข้อ และเป็นสาเหตุความขัดแย้งต่ำกว่าร้อยละ 60.0 จำนวน 7 ข้อ ข้อที่เป็นสาเหตุความขัดแย้งมากที่สุด คือ ด้านองค์ประกอบส่วนบุคคล ข้อที่7 การมีวุฒิภาวะทางอารมณ์แตกต่างกัน ร้อยละ 91.3 ผลการเปรียบเทียบสาเหตุความขัดแย้งในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 จำแนกตามขนาดโรงเรียนเป็นรายข้อ จำนวน 51 ข้อ พบว่า สถานศึกษาที่มีขนาดต่างกันจะมีสาเหตุ ความขัดแย้งในสถานศึกษาแตกต่างกัน จำนวน 6 ข้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แนวทางการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 1) ด้านองคประกอบส่วนบุคคล ผู้บริหารสถานศึกษาควรนิเทศให้ความรู้เรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กัน ระหว่างกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่อย่างสม่ำเสมอ หากมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันควรใช้หลักประชาธิปไตยในการตัดสินและเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น จนทำให้เกิดมติที่เกิดที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจ เอาความเห็นแตกต่างมาผสมเข้ากัน นำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นเอกฉันท์ 2) ด้านปฏิสัมพันธ์ในการทำงาน ผู้บริหารสถานศึกษาควรเป็นแบบอย่างที่ดี เรื่อการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนอย่างเสมอภาค จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์การควรนิเทศติดตามผลงานและให้กำลังใจทุกกลุ่มที่ร่วมปฏิบัติงานสร้างความภูมิใจเป็นทีมมากกว่ากลุ่มบุคคล เมื่อเกิดความขัดแย้งควรใช้หลักการประนีประนอมหาทางออกรวมกันให้เกิดการประสานร่วมมือในองค์การมากกว่าการเอาชนะ 3) ด้านที่สภาพการทำงานหรือสถชภาพองค์การ ผู้บริหารสถานศึกษาควรยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหาร ไม่ให้มีผลประโยชน์ภายในโรงเรียนที่ตกไปสู่บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ควรออกคำสั่งที่ถูกต้องชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรติดเป็นแผ่นครงสร้างการปฏิบัติงานของโรงเรียนที่สามารถรับรู้ได้ชัดเจน และสรุปผลการทำงานทุกสิ้นปีการศึกษา หากเกิดปัญหา ควรใช้การประนีประนอม คือ การให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึ่งพอใจทั้งสองฝ่ายแต่ละฝ่ายควรย่อมเสียสละส่วนของตนเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ.

Address: นครราชสีมา

Email: library@nrru.ac.th

Name: ประหยัด ภูมิโคกรักษ์

Role: อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก

Created: 2559

Modified: 2560-02-24

Issued: 2560-02-24

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

tha

Spatial: นครราชสีมา

DegreeName: ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: การบริหารการศึกษา

Grantor: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	titlepage.pdf	1.42 MB	62	2024-01-27 14:25:02
2	abstract.pdf	1.47 MB	70	2024-01-27 14:25:35
3	ack.pdf	393.15 KB	41	2024-01-27 14:26:01
4	content.pdf	2.17 MB	56	2024-01-27 14:26:22
5	chapter1.pdf	3.02 MB	54	2024-09-30 18:04:19
6	chapter2.pdf	34.76 MB	135	2024-09-15 11:17:30
7	chapter3.pdf	2.23 MB	61	2024-01-27 14:27:39
8	chapter4.pdf	11.84 MB	51	2024-01-27 14:28:02
9	chapter5.pdf	5.33 MB	75	2024-01-27 14:28:44
10	bib.pdf	2.21 MB	48	2024-01-27 14:29:05
11	appendix.pdf	17.61 MB	55	2024-01-27 14:29:33
12	biodata.pdf	373.72 KB	39	2024-01-27 14:29:57

ใช้เวลา

0.032506 วินาที