ผลของกรรมวิธีการอบชุบภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงแรงดันและสารชุบที่มีต่อการสึกหรอของแม่พิมพ์ตัด

Faculty of Engineering and Architecture Department : Materials Engineering

Name: กนกอร นุ้ยเล็ก

Name: ชานนท์ บุนนท์

Name: อมรศักดิ์ มาใหญ่

keyword: แม่พิมพ์ปั๊มตัด

; การสึกหรอ

; กรรมวิธีการอบชุบ

; โครงสร้างจุลภาค

; blanking punch

; wear

; heat treatment

; microstructure

Abstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพคมตัดแม่พิมพ์ที่ได้จากกรรมวิธีการอบชุบภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงแรงดันและสารชุบ โดยกำหนดให้ชุดคมตัดแม่พิมพ์ใช้รูปร่างวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 25 มิลลิเมตร ทำด้วยเหล็ก SKD 11 อบชุบด้วยกรรมวิธีพ่นชุบ ด้วยสารชุบ คือ น้ำ น้ำเกลือ และน้ำมัน โดยใช้ค่าความดันสารชุบที่แตกต่างกัน 4 ระดับความดัน คือ 5, 6, 7 และ 8 บาร์ ปั๊มตัดวัสดุเหล็กคาร์บอน AISI 1012 (ความหนา 2 มิลลิเมตร) ในสภาพไม่ใช้สารหล่อลื่น ตัวชี้วัดผลของการทดลองได้แก่ขนาดของส่วนหน้าตัดเฉือน ส่วนรอยแตก ส่วนที่เกิดครีบ และ น้ำหนักของชุดคมตัด ผลการอบชุบด้วยกรรมวิธีพ่นชุบ พบว่าชิ้นงานที่ผ่านการอบชุบที่สภาวะแรงดัน 5 และ 6 บาร์ ด้วยสารชุบน้ำเกลือให้ค่าความแข็งสูงสุด และที่สภาวะแรงดัน 7 และ 8 บาร์ ด้วยสารชุบน้ำมันให้ค่าความแข็งสูงสุด ซึ่งพบว่าที่แรงดัน 7 บาร์ ของการอบชุบด้วยสารชุบน้ำ น้ำเกลือ และน้ำมัน ทำให้ได้โครงสร้างมาร์เทนไซต์ และโครเมียมคาร์ไบด์ขนาดเล็กกระจายตัวอย่างหนาแน่นสม่ำเสมออยู่ทั่วชิ้นงานมากกว่าที่แรงดันอื่น เมื่อพิจารณาการสึกหรอของชุดคมตัดพบว่า ชุดคมตัดมีการสึกหรอ 2 ลักษณะ คือ การสึกหรอด้านหน้าของชุดคมตัด และเกิดการสึกหรอด้านข้างและมุมของชุดคมตัด ซึ่งผลการวิเคราะห์ความแตกต่าง (One-way ANOVA) ของการสึกหรอของพันช์ที่อบชุบด้วยน้ำมัน น้ำเกลือ และน้ำ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปพบว่า ค่า P- Value=0.000 ซึ่งมีค่าน้อยกว่าระดับนัยสำคัญ แสดงว่าการสึกหรอของพันช์ที่อบชุบด้วยน้ำมัน น้ำเกลือ และน้ำ มีความแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 โดยพันช์ที่อบชุบด้วยน้ำมีการสึกหรอมากที่สุด รองลงมาคือพันช์ที่อบชุบด้วย น้ำเกลือ และพันช์ที่สึกหรอน้อยที่สุด คือพันช์อบชุบด้วยน้ำมัน This research aims to study the performance blanking punch made by heat treatment process under changing of pressure and quenching media. The blanking punch was made from SKD11 steel with diameter of 25 mm. and heat by using spray process and quenching media in this work are water, salt water and oil, varies pressure by 5, 6, 7 and 8 bar. Then use it to cut AISI1012 carbon steel (thickness 2 mm.) without lubricant condition. The outcome in this include of the size of cut band, break, burr and weight of blanking punch. Effect of heat treatment with a spray process found that the blanking punch in pressure 5 and 6 bar of salt water condition made a maximum hardness. In 7 and 8 bar of oil condition made a maximum hardness. And it was found that pressure of 7 bar and quench with water, salt water and oil, made a martensite and small of chromium carbide structure distributed all of punch more than another pressure conditions. Considering the wear of the blanking punch was found two types of wear in face, side and edge of blanking punch. The results of analysis of variance (One-way ANOVA) of the wear of a punch which is spray quenched with oil, salt water and water by using a computer program found that the P- Value = 0.000, which is less than significant level. Show that the wear of the punch that heat treatment oil, salt and water are different at the 0.05 level of significance by heat treatment with water spray quenched was maximum wear, and punch with oil spray quenched was minimum wear in this research

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ

Address: นครราชสีมา

Email: kitiya.ni@rmuti.ac.th

Created: 2558

Modified: 2559-03-16

Issued: 2559-03-16

งานวิจัย/Research report

application/pdf

tha

©copyrights มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	Cover.pdf	159.61 KB	2	2018-06-06 02:16:56
2	Abstract.pdf	109.64 KB	5	2018-09-08 15:53:29
3	Acknowledge.pdf	96.66 KB	3	2018-06-06 02:16:57
4	Table of contents.pdf	124.01 KB	2	2018-06-06 02:16:58
5	Chapter 1.pdf	128.98 KB	6	2018-06-06 02:16:59
6	Chapter 2.pdf	1.17 MB	11	2019-11-29 09:39:18
7	Chapter 3.pdf	526.52 KB	4	2018-06-06 02:17:00
8	Chapter 4.pdf	1.67 MB	3	2018-06-06 02:17:01
9	Chapter 5.pdf	104.14 KB	3	2018-06-06 02:17:02
10	Bibliogrpahy.pdf	98.95 KB	2	2018-06-06 02:17:03
11	Appendices.pdf	2.83 MB	2	2018-06-06 02:17:04
12	Profile.pdf	102.18 KB	2	2018-06-06 02:17:05

ใช้เวลา

0.105813 วินาที