การนำหลักสติไปใช้เพื่อแก้ปัญหาการทำงาน พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

Name: นายสุคนธ์ มาพัวะ

keyword: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

Abstract: บทคัดย่อ วิทยานิพนธ์เรื่อง การนำหลักสติไปใช้เพื่อแก้ปัญหาการทำงาน พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการคือ ๑) เพื่อศึกษาสติในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนา ๒) เพื่อศึกษาความเข้าใจเกี่ยวกับสติ และสาเหตุปัจจัยในการทำงานผิดพลาดจากบุคคลของพนักงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ๓) เพื่อศึกษาการนำหลักสติไปใช้เพื่อแก้ปัญหาการทำงาน ของพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงเอกสารและเชิงสำรวจ โดยการรวบรวมเอกสารหลักฐานจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารวิชาการต่างๆ มาประมวลเป็นองค์ความรู้ จากนั้นได้ทำการสำรวจแจกแบบสอบถามประชากรกลุ่มตัวอย่างผู้ปฏิบัติงาน สังกัดฝ่ายปฏิบัติการภาคเหนือ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน ๒๑๐ คน จากประชากรทั้งหมด ๔๔๔ คน นำมาวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ เพื่อหาค่าร้อยละ (percentage) ค่าความถี่ (frequency) ค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยสุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) ผลการวิจัยพบว่า ๑) สติ หมายถึง ความระลึกได้ ความไม่หลงไม่ลืม ความไม่เลื่อนลอย ความไม่ประมาท คือการระลึกรู้อารมณ์ และเป็นสิ่งที่ยับยั้งมิให้จิตตกไปในฝ่ายอกุศล หน้าที่ของสติ คือ การไม่หลงลืมหน้าที่ การจำได้อย่างแม่นยำ เหนี่ยวอารมณ์ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ การรักษาอารมณ์ให้คงที่อยู่เสมอ ลักษณะของสติ เป็นเจตสิก ระลึกที่เป็นกุศล และเป็นสติปัฏฐาน การนำสติไปใช้ สติเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งใจ สติทำให้เกิดสมาธิ สมาธิเป็นบาทฐานของปัญญา ใช้เป็นเครื่องระลึกรู้ทางกาย ทางเวทนา ทางจิต และทางธรรมเรียกว่า สติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นหนทางสายเอกที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งในสัจธรรม ประโยชน์ของสติ คือ ห้ามมิให้เราสร้างกรรมชั่ว ป้องกันมิให้มีการก่อเวรเกิดขึ้น เป็นการเตรียมตัวก่อนตาย ถ้ามีสติเป็นเครื่องระลึกรู้ไม่ต้องไปทุคติภูมิ การมีสตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ใดมีสติอยู่ทุกเวลา ผู้นั้นจะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ๒) ความเข้าใจเกี่ยวกับสติ ผู้ปฏิบัติงานด้านบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้า ทราบและเข้าใจน้อยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ๓๖.๑๙ และสาเหตุปัญหาในการปฏิบัติงานของพนักงาน คือการทำงานผิดพลาดจากการทำงานของบุคคล สาเหตุปัจจัยเกิดจาก ๔ สาเหตุ ประกอบด้วย เกิดจากคน,เกิดจากเครื่องมือและอุปกรณ์,เกิดจากวิธีการและขั้นตอนการปฏิบัติงาน และเกิดจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน ความคิดเห็นกลุ่มตัวอย่าง พบว่าสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดพลาดจากการทำงานของบุคคล เกิดจาก คน มากที่สุดค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( = ๔.๕๓) ซึ่งสาเหตุมาจากไม่มีสติสัมปชัญญะ ประมาทเลินเล่อ,เผลอ มากที่สุดค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = ๔.๑๗) ๓) ความคิดเห็นด้านการนำหลักสติไปใช้ เพื่อแก้ปัญหาการปฏิบัติงาน การนำหลักเจริญสติสัมปชัญญะ(สติปัฏฐาน ๔) มาแก้ปัญหาทำงานผิดพลาดจากบุคคล ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = ๔.๑๒) ผู้บริหารควรมีนโยบายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ในการนำหลักเจริญสติสัมปชัญญะ(สติปัฏฐาน ๔) ให้พนักงานนำมาปฏิบัติ ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = ๔.๐๔) และควรจัดให้มีการอบรมหลักสูตรเจริญสติสัมปชัญญะ(สติปัฏฐาน ๔) ให้กับพนักงาน ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = ๓.๙๕) สรุปโดยรวมพบว่าผู้ปฏิบัติงานเห็นด้วยกับการนำหลักสติ ไปใช้เพื่อแก้ปัญหาด้านนโยบาย และด้านการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก

Abstract: ABSTRACT The research entitled : “An Application of Mindfulness and Clear Comprehension to Solve the Working Problems of Labor of the Electricity Generating Authority of Thailand (EGAT.)”. The objectives of the study had 3 folds : 1) to study Mindfulness principles as appeared in Buddhist Tipitake 2) to study the awareness and understanding of mindfulness and the factors which were causing the failure of the employees from the Electricity Generating Authority of Thailand. 3) To study the mindfulness principles used to solve the problems of Employee’s problems of the Electricity Generating Authority of Thailand (EGAT.). The study was documentary and survey research. The data gathering for primary source was done through Tipitaka texts, related Buddhist documents and research works VIZ integrating to the knowledge. The sample survey of the population used questionnaire as the research tool. from employees of Electricity Generating Authority of Thailand under the northern operations region. The sample consisted of 210 employees which have drawn from the total population of 444 employees. The data were analyzed by percentage, frequency, mean and standard deviation. The sampling method was employed Stratified Random Sampling. The findings were as follows: 1) Sati (mindfulness) referred to the recall and did not forget. not metaphysical a precaution. The mindfulness was self-restraint which was not to fall into the evil mind. The functions of mindfulness was not amnesia remember with affection and always control constant mood. The nature of mindfulness was the adjuncts of consciousness and setting up of mindfulness. The mindfulness made sense to concentration. The concentration made wisdom. Sati (mindfulness) was the foundation of Kãyãnupãssanã, Vedanãnupassanã, Cittãnupassanã and Dhammãnupassanã. The benefits of mindfulness was not to create evil, prevent hostile action. The mindfulness at all times was comparing to listening the sermons of the Buddha’s time. 2) The understanding of mindfulness for the employees concerning with the maintenance tasks knew quite a few power supplies for the 36.19 %. And the cause of problem in the performance of employees was an error of the individual personnel. The factors that caused errors in the work had four kinds such as from the personnel, tools and equipment, method and procedures of works and working environment. From the comments of the respondents indicated that the factors which caused fault of the employees was the highest average ( =4.53). Which was caused by a lack of mindfulness and negligence at the highest average level ( =4.17). 3) The opinions on the used of primary mindfulness principles to solve performance problems was Satipatthãna (foundations of mindfulness), the average mean scores at the high level ( =4.12). The administrators should have a clear policy that was the primary objective in a work. The employees should put Satipatthãna into practice at high average level ( =4.04). The administrators should organize the training course on Satipatthãna which had the high average level ( =3.95). Overall conclusion; the principles of mindfulness should be practiced by including as the policy for practice of the employees which a high average mean scores.

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. สำนักหอสมุดและเทคโนโลยีสารสนเทศ

Address: กรุงเทพมหานคร

Email: library@mcu.ac.th

Name: พระมหาวรัญญู วรญฺญู, ดร. ป.ธ.๗, พธ.บ., M.A., Ph.D.

Role: อาจารย์ที่ปรึกษา

Name: ผศ.ดร. วรกฤต เถื่อนช้าง ป.ธ.๙, ศษ.บ., ศศ.ม., ปร.ด.

Issued: 2556-09-08

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

tha

DegreeName: พุทธศาสตรมหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: สาขาวิชาพระพุทธศาสนา

Grantor: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

©copyrights มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ใช้เวลา

0.026207 วินาที