การพิจารณาความดีความชอบในการเลื่อนขั้นเงินเดือนตามเกณฑ์ การประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของ ข้าราชการครูโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาสุพรรณบุรี

TEACHERS’ ANNUAL PROMOTIONS ACCORDING TO EVALUATION CRITERIA BASED ON THE EFFICIENCY AND EFFECTIVENESS OF THEIR PERFORMANCE OF DUTY IN SECONDARY SCHOOLS UNDER THE EDUCATIONAL SERVICE AREA OFFICE SUPHAN BURI

Name: นำศักดิ์ หอมชื่น

keyword: การพิจารณาคดี

; ข้าราชการ การเลื่อนขั้น

; สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาสุพรรณบุรี

Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพ และ เกณฑ์ที่นามาใช้ในการพิจารณาความดีความชอบ เปรียบเทียบสภาพและเกณฑ์ที่นามาใช้ในการพิจารณาความดีความชอบ รวมทั้งศึกษาปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาการพิจารณาความดีความชอบในการเลื่อนขั้นเงินเดือนตามเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการครูตามความคิดเห็นของครู และ ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาประกอบด้วยครู และผู้บริหารจากโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุพรรณบุรี จานวน 302 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามชนิดตรวจสอบรายการ (check list) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าร้อยละ และ ค่าไคกาลังสอง (chi-square test) วิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรม SPSS for Windows version 10.0 ผลการวิจัย พบว่า 1. การพิจารณาความดีความชอบตามความคิดเห็นของครู และ ผู้บริหารในภาพรวม สภาพที่มีการดาเนินการมากที่สุด คือ การพิจารณาความดีความชอบที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเป็นผู้ประเมิน และสภาพที่มีการดาเนินการน้อยที่สุด คือ การพิจารณาความดีความชอบโดยคานึงถึงระบบอาวุโส 2. เกณฑ์การพิจารณาความดีความชอบตามความคิดเห็นของครู และ ผู้บริหารในภาพรวม พบว่าด้านผลงาน เกณฑ์ที่นามาใช้มากที่สุด คือ นาปริมาณผลงานของผู้ถูกประเมินมาใช้เปรียบเทียบกับ เป้าหมายของงาน และเกณฑ์ที่นามาใช้น้อยที่สุดคือ นาเรื่องการประหยัดหรือความคุ้มค่าของการใช้ ทรัพยากรในการปฏิบัติงานมาใช้ในการพิจารณาความดีความชอบ ส่วนในด้านคุณลักษณะในการปฏิบัติงานเกณฑ์ที่นามาใช้มากที่สุดคือ นาคุณลักษณะด้านการปฏิบัติตนให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการมาใช้พิจารณาความดีความชอบ เกณฑ์ที่นามาใช้น้อยที่สุดคือ คุณลักษณะด้านการมีศิลปะในการจูงใจมาใช้พิจารณาความดีความชอบ 3. เมื่อเปรียบเทียบสภาพการพิจารณาความดีความชอบตามความคิดเห็นของครู กับ ผู้บริหาร พบว่า ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 คือ มีการพิจารณาความดีความชอบที่กระทากันอย่างเปิดเผย หลังจากการประเมินการพิจารณาความดีความชอบมีการเปิดเผยข้อมูลให้ครูได้ทราบ และ มีการประเมินผลการปฏิบัติงานออกมาเป็นคะแนนที่ชัดเจน 4. เมื่อเปรียบเทียบเกณฑ์การพิจารณาความดีความชอบตามความคิดเห็นของครู กับ ผู้บริหาร พบว่า ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ทุกเกณฑ์ 5. ปัญหาในการพิจารณาความดีความชอบที่พบมากที่สุดในแต่ละด้านและ แนวทางในการ แก้ปัญหามีดังนี้ ปัญหาด้านสภาพในการพิจารณาความดีความชอบ คือ ครูไม่มีส่วนร่วมในการกาหนดวิธีการ หลักเกณฑ์การพิจารณาความดีความชอบ แนวทางแก้ไขปัญหาคือ ให้ครูได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาความดีความชอบให้มากที่สุด ส่วนปัญหาด้านเกณฑ์การพิจารณาความดีความชอบ คือ ครูขาดการเก็บผลงานที่เป็นหลักฐาน มีแนวทางแก้ไขคือ ครูจัดเก็บผลงานให้เป็นระบบ เป็นรูปธรรมสามารถตรวจสอบได้

Kanchanaburi Rajabhat University.

Address: KANCHANABURI

Email: tdc@kru.ac.th

Name: วิไลวรรณ สันถวะโกมล

Role: ประธานกรรมการที่ปรึกษา

Name: พงษ์ศักดิ์ รวมชมรัตน์

Role: กรรมการที่ปรึกษา

Name: สมชาย วงศ์สวัสดิสกุล

Role: กรรมการที่ปรึกษา

Issued: 2547

Modified: 2562-07-25

Issued: 2554-09-25

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/octet-stream

tha

DegreeName: ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: การบริหารการศึกษา

©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	Mr. Numsak Homchuen.pdf	4.14 MB	1157	2025-11-27 11:41:07

ใช้เวลา

0.039261 วินาที